วันพุธ, พฤศจิกายน 12, 2025
spot_img
หน้าแรกข่าวการศึกษาดาวน์โหลด ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ 2568-2570

ดาวน์โหลด ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ 2568-2570

ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 เข็มทิศชี้นำอนาคตการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศและความยั่งยืน

ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง การศึกษาได้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการกำหนดทิศทางการวิจัยทางการศึกษาที่ชัดเจน เพื่อให้ประเทศไทยมีเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาการศึกษา และสร้างพลังร่วมในการวิจัยที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568-2570 จึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงประเด็นทางการศึกษาที่มีความต้องการใช้ประโยชน์อย่างเร่งด่วน มีผลกระทบสูงต่อการพัฒนาการศึกษาในสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบทิศทางการวิจัยทางการศึกษาฉบับนี้แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ทุนและจัดทำวิจัยต่อไป

ภาพรวมของทิศทางการวิจัยทางการศึกษา 8 ประเด็นหลัก

ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568-2570 ได้กำหนดประเด็นสำคัญทั้งหมด 8 ประเด็นที่จะเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการวิจัยทางการศึกษาของประเทศในช่วง 3 ปีข้างหน้า ประเด็นเหล่านี้ได้รับการจัดลำดับความสำคัญตามความเร่งด่วนในการใช้งานเพื่อให้ทันต่อเป้าหมายในการพัฒนาคนให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ประเด็นแรกคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคปัจจุบัน เนื่องจากความรู้และทักษะที่จำเป็นในการทำงานและการดำรงชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ผู้คนจึงจำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้งตลอดช่วงชีวิต การวิจัยในประเด็นนี้จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบและกลไกที่สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น ระบบธนาคารหน่วยกิต คุณวุฒิฉบับย่อย และแนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้

ประเด็นที่สองคือการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการศึกษา การวิจัยในประเด็นนี้จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา นวัตกรรมการเรียนการสอน และแพลตฟอร์มการศึกษาที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

ประเด็นที่สามคือความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทยที่ส่งผลกระทบต่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชน การวิจัยในประเด็นนี้จะมุ่งหาแนวทางในการสร้างระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินเพื่อการศึกษาและการกระจายทรัพยากรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

การพัฒนาทักษะและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

ประเด็นที่สี่คือการพัฒนาทักษะที่จำเป็นและการเสริมทักษะใหม่หรือยกระดับทักษะเดิมที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน ในยุคที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์เข้มามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น ทักษะที่จำเป็นในตลาดแรงงานก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การวิจัยในประเด็นนี้จะมุ่งเน้นไปที่การศึกษาทักษะที่จำเป็นในอนาคต การพัฒนานวัตกรรมระบบการเสริมทักษะและยกระดับทักษะ รวมถึงการพัฒนาทักษะสำหรับผู้สูงอายุที่ยังต้องการทำงานหรือมีส่วนร่วมในสังคม

ประเด็นที่ห้าคือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ ซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการจัดการศึกษายุคใหม่ โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้การเรียนการสอนออนไลน์กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ การวิจัยในประเด็นนี้จะมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประโยชน์ในการศึกษา การพัฒนาความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี และการพัฒนานวัตกรรมหลักสูตรเพื่อเน้นทักษะด้านเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์

ประเด็นที่หกคือการศึกษาเพื่อสังคมสีเขียว ซึ่งสะท้อนถึงความตระหนักในประเด็นสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน การวิจัยในประเด็นนี้จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานโยบายการศึกษาสีเขียว หลักสูตรเพื่อสังคมสีเขียว และนวัตกรรมด้านหลักสูตรที่จะปลูกฝังจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้เรียนทุกช่วงวัย

ประเด็นที่เจ็ดคือประสิทธิภาพทางการศึกษา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรและงบประมาณด้านการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด การวิจัยในประเด็นนี้จะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนและการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ การฟื้นฟูภาวะการเรียนรู้ถดถอย และนวัตกรรมทางการเงินเพื่อการศึกษา

ประเด็นสุดท้ายคือความเป็นพลเมืองและพลโลก ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก การวิจัยในประเด็นนี้จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความเป็นพลเมืองดิจิทัล การแก้ไขปัญหาช่องว่างระหว่างรุ่น และการบูรณาการความเป็นพลเมืองโลกในหลักสูตร

การจัดกลุ่มประเด็นวิจัยตามความเร่งด่วนและผลกระทบ

เพื่อให้การดำเนินงานวิจัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประเทศ เอกสารทิศทางการวิจัยทางการศึกษาได้จัดลำดับความสำคัญของประเด็นวิจัยออกเป็น 3 กลุ่มตามความเร่งด่วนและความต้องการใช้งานวิจัย

กลุ่มแรกคือกลุ่มที่มีความสำคัญและเร่งด่วนมาก ซึ่งประกอบด้วยประเด็นที่มีความต้องการใช้งานวิจัยสูง มีผลกระทบต่อระบบ และอยู่ในบริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ การพัฒนาทักษะที่จำเป็นและการเสริมทักษะใหม่หรือยกระดับทักษะเดิมที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ ประเด็นทั้งสองนี้ต้องการการดำเนินงานวิจัยอย่างเร่งด่วนเพราะโลกของการทำงานและเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากไม่เร่งทำวิจัยและนำผลไปใช้ ประเทศไทยอาจตกหล่นและสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่มีความสำคัญมาก แม้ความไม่แน่นอนจะน้อยกว่ากลุ่มแรก แต่ยังคงต้องมีงานวิจัยรองรับให้เพียงพอ ประเด็นในกลุ่มนี้ประกอบด้วย ความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ำ การศึกษาที่มีคุณภาพ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ประเด็นเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาการศึกษาที่ต้องได้รับการสนับสนunและส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่มีความเร่งด่วนเท่ากลุ่มแรก แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันในการสร้างระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเป็นธรรม

กลุ่มที่สามคือกลุ่มที่ยังมีความต้องการใช้งานวิจัยไม่มากนัก แต่มีผลกระทบสูงและควรเตรียมข้อมูลไว้ล่วงหน้า ประเด็นในกลุ่มนี้ประกอบด้วย ประสิทธิภาพทางการศึกษา การศึกษาเพื่อสังคมสีเขียว และความเป็นพลเมืองและพลโลก ประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นระยะยาวที่ต้องการการเตรียมการและการสะสมองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทิศทางการวิจัยตามกรอบ 4 ด้านหลัก

นอกจากการจัดกลุ่มตามความเร่งด่วนแล้ว ทิศทางการวิจัยทางการศึกษายังได้จัดแบ่งประเด็นต่างๆ ออกเป็น 4 ด้านหลักเพื่อส่งเสริมงานวิจัยที่ส่งผลต่อการศึกษาทั้งในด้านนโยบายและการปฏิบัติ การจัดกรอบแบบนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของประเด็นวิจัยต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ด้านแรกคือการวิจัยเพื่อพัฒนาแนวคิด ระบบ โครงสร้าง และการจัดการศึกษาที่รองรับและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ เป้าหมายหลักของด้านนี้คือการสร้างองค์ความรู้ใหม่เพื่อปรับระบบและการจัดการศึกษาให้มีความยืดหยุ่น ทันสมัย และเอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ประเด็นวิจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น การพัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิตที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ และนำมาใช้ขอรับวุฒิการศึกษาได้ การพัฒนาคุณวุฒิฉบับย่อยที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะด้าน และแนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ชุมชนทั้งหมดเป็นแหล่งเรียนรู้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการศึกษาเพื่อสังคมสีเขียว เช่น การพัฒนานโยบายการศึกษาสีเขียว หลักสูตรเพื่อสังคมสีเขียว และนวัตกรรมด้านหลักสูตรที่จะช่วยสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้เรียน

ด้านที่สองคือการวิจัยเพื่อกำหนดระบบการผลิตและพัฒนาทักษะกำลังคน ผู้เรียน และบุคลากรทางการศึกษาที่มุ่งสู่การยกระดับผลิตภาพโดยรวมของประเทศ เป้าหมายของด้านนี้คือการสร้างองค์ความรู้ใหม่เพื่อพัฒนาทักษะของผู้เรียนทุกช่วงวัยและบุคลากรทางการศึกษาทุกประเภท ประเด็นวิจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ การพัฒนาทักษะที่จำเป็นและการเสริมทักษะใหม่หรือยกระดับทักษะเดิมที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน เช่น การศึกษาทักษะที่จำเป็นในอนาคตที่ตลาดแรงงานต้องการ การพัฒนานวัตกรรมระบบการเสริมทักษะและยกระดับทักษะที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาทักษะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังรวมถึงความเป็นพลเมืองและพลโลก เช่น การเสริมสร้างความเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีความรับผิดชอบและใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ การแก้ไขปัญหาช่องว่างระหว่างรุ่นที่อาจเกิดจากความแตกต่างในการเข้าถึงเทคโนโลยี และการบูรณาการความเป็นพลเมืองโลกในหลักสูตรเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ

ด้านที่สามคือการวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการการศึกษาที่มุ่งสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาในระดับนานาชาติ เป้าหมายของด้านนี้คือการสร้างองค์ความรู้ใหม่เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการการศึกษาและระบบนิเวศทางการศึกษาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ ประเด็นวิจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ การศึกษาที่มีคุณภาพ เช่น การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในทุกระดับ นวัตกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และนวัตกรรมการติดตามประเมินผลแพลตฟอร์มการศึกษาเพื่อให้มั่นใจว่าการศึกษามีคุณภาพตามมาตรฐาน นอกจากนี้ยังรวมถึงความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ำ เช่น การพัฒนาระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ต่างๆ นวัตกรรมทางการเงินเพื่อการศึกษาที่ช่วยให้ผู้ด้อยโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ และการกระจายทรัพยากรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมถึงประสิทธิภาพทางการศึกษา เช่น การลงทุนและการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด การฟื้นฟูภาวะการเรียนรู้ถดถอยที่อาจเกิดจากการหยุดชะงักของการเรียนการสอน และนวัตกรรมทางการเงินเพื่อการศึกษาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

ด้านที่สี่คือการวิจัยเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการศึกษาที่สนับสนุนให้เกิดการศึกษาที่มีคุณภาพ ปราศจากความเหลื่อมล้ำ และนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป้าหมายของด้านนี้คือการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่เอื้อให้เกิดระบบนิเวศทางการศึกษาที่เหมาะสมกับการจัดการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต ประเด็นวิจัยที่เกี่ยวข้องคือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ เช่น การนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนและการบริหารจัดการการศึกษา ความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีเพื่อปกป้องผู้เรียนจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และการพัฒนานวัตกรรมหลักสูตรเพื่อเน้นทักษะด้านเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ที่จะเป็นทักษะสำคัญของคนในศตวรรษที่ 21

ความหมายของทิศทางการวิจัยในฐานะเข็มทิศชี้นำ

การกำหนดทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติครั้งนี้มิใช่เพียงแค่การระบุประเด็นที่ควรทำวิจัยเท่านั้น แต่มุ่งหวังให้เป็นเสมือนเข็มทิศที่ชี้นำทิศทางการพัฒนาการศึกษาของประเทศไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทิศทางการวิจัยนี้จะช่วยให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสามารถวางแผนและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับนักวิจัย ทิศทางการวิจัยนี้จะเป็นแนวทางในการกำหนดหัวข้อวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ช่วยให้งานวิจัยที่ทำออกมามีความสอดคล้องกับนโยบายและมีโอกาสนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง นอกจากนี้ยังช่วยให้เห็นภาพรวมของงานวิจัยที่มีอยู่และช่องว่างที่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม

สำหรับหน่วยงานที่ให้ทุนวิจัย ทิศทางนี้จะเป็นกรอบในการพิจารณาโครงการวิจัยที่ขอรับทุน ช่วยให้การจัดสรรงบประมาณมุ่งไปในทิศทางเดียวกันและสร้างพลังร่วมในการขับเคลื่อนการวิจัยทางการศึกษาของชาติ ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับผู้กำหนดนโยบาย ทิศทางการวิจัยนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการวางนโยบายด้านการศึกษาที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์ ช่วยให้การกำหนดนโยบายมีความชัดเจนและสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของสังคม รวมถึงช่วยในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบาย

กลไกการขับเคลื่อนและการนำไปสู่การปฏิบัติ

เพื่อให้ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในหลายด้าน ได้แก่

ด้านการจัดสรรทุนวิจัย หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดสรรทุนวิจัยทางการศึกษา เช่น สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานอื่นๆ ควรนำทิศทางการวิจัยนี้มาใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ทุนวิจัย โดยให้ความสำคัญกับโครงการวิจัยที่สอดคล้องกับประเด็นและทิศทางที่กำหนดไว้

ด้านการจัดทำวิจัย หน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดทำวิจัยทางการศึกษาควรนำทิศทางนี้มาใช้ในการวางแผนการทำวิจัยของหน่วยงาน เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและสร้างพลังร่วมในการพัฒนาองค์ความรู้ทางการศึกษา

ด้านการเผยแพร่และนำไปใช้ประโยชน์ ควรมีการสร้างกลไกในการเผยแพร่ผลงานวิจัยและส่งเสริมให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่างนักวิจัยกับผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่

ด้านการติดตามและประเมินผล ควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามทิศทางการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนาทิศทางการวิจัยในอนาคต

ความท้าทายและข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อน

แม้ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาจะถูกกำหนดขึ้นอย่างรอบคอบและได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ในการนำไปสู่การปฏิบัติยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องให้ความสำคัญ

ประการแรกคือความท้าทายด้านงบประมาณและทรัพยากร การวิจัยทางการศึกษาที่มีคุณภาพต้องการงบประมาณและทรัพยากรที่เพียงพอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรร่วมมือกันในการจัดหาแหล่งทุนและจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ประการที่สองคือความท้าทายด้านศักยภาพของนักวิจัย ควรมีการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยให้สามารถทำวิจัยที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ตามทิศทางที่กำหนดไว้ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายนักวิจัยที่ทำงานร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวข้อง

ประการที่สามคือความท้าทายด้านการเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยกับการปฏิบัติ ควรมีกลไกที่ชัดเจนในการนำผลงานวิจัยไปใช้ในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติงานจริง ไม่ให้งานวิจัยเป็นเพียงเอกสารที่ถูกเก็บไว้ในห้องสมุดเท่านั้น

ประการที่สี่คือความท้าทายด้านการติดตามและประเมินผล ควรมีระบบการติดตามและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทราบความก้าวหน้าและผลกระทบของการดำเนินงานตามทิศทางการวิจัย

มองไปข้างหน้า อนาคตของการวิจัยทางการศึกษาไทย

ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568-2570 เป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาของประเทศไปสู่ความเป็นเลิศและความยั่งยืน แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น การที่จะทำให้การศึกษาไทยเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริงนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา นักวิจัย ครู บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไป

เราทุกคนมีบทบาทในการขับเคลื่อนทิศทางการวิจัยนี้ไปสู่การปฏิบัติ นักวิจัยสามารถใช้ทิศทางนี้เป็นแนวทางในการกำหนดหัวข้อวิจัย ผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้เป็นข้อมูลในการวางนโยบาย ครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถนำผลงานวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน และประชาชนทั่วไปสามารถให้ความสนใจและสนับสนุนการพัฒนาการศึกษา

หากเราสามารถทำงานร่วมกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้เทียบเท่าหรือดีกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว และสร้างอนาคตที่สดใสให้แก่เด็กและเยาวชนไทยทุกคน

การศึกษาคือรากฐานของการพัฒนาประเทศ และการวิจัยคือกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรให้ความสำคัญและร่วมมือกันผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของการศึกษาไทยและสังคมไทยโดยรวม

สรุป

ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568-2570 ได้กำหนดกรอบและแนวทางในการดำเนินการวิจัยทางการศึกษาของประเทศอย่างชัดเจน ครอบคลุม 8 ประเด็นสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาไทยให้ก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลง ตอบสนองความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจ และสร้างความเป็นธรรมทางการศึกษา

การนำทิศทางการวิจัยนี้ไปสู่การปฏิบัติต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ความมุ่งมั่นในการพัฒนา และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง หากเราสามารถดำเนินการได้อย่างจริงจัง ทิศทางการวิจัยนี้จะกลายเป็นเข็มทิศที่นำพาการศึกษาไทยไปสู่ความเป็นเลิศและความยั่งยืนอย่างแท้จริง

อ้างอิง : ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568-2570 ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568

ตัวอย่างไฟล์เอกสาร

เอกสารเป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : สำนักวิจัยและพัฒนาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

ข่าวยอดนิยม

ความคิดเห็นล่าสุด