วันจันทร์, พฤศจิกายน 17, 2025
spot_img
หน้าแรกข่าวการศึกษาดาวน์โหลด การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research) กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน

ดาวน์โหลด การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research) กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน

การวิจัยชั้นเรียน เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาไทยสู่ศตวรรษที่ 21

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ถึง 2100 ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการการศึกษาทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อเนื้อหาที่สอน แต่ยังส่งผลต่อวิธีการสอน บทบาทของครู และที่สำคัญคือทักษะที่ผู้เรียนจำเป็นต้องมีเพื่อความอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ การวิจัยชั้นเรียนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูไทยสามารถตอบสนองต่อความต้องการของการศึกษายุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การวิจัยชั้นเรียนคือกระบวนการที่เป็นระบบในการศึกษา วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน โดยครูผู้สอนเป็นผู้ดำเนินการเองเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียนให้ดีขึ้น กระบวนการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทดลองสอนแบบใหม่ๆ แต่เป็นการสร้างองค์ความรู้ที่เชื่อถือได้ ตรวจสอบได้ และสามารถนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอนได้จริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นการสร้างความรู้ผ่านการวิจัยและการปฏิบัติจริง

ความเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยชั้นเรียนกับการศึกษาศตวรรษที่ 21

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 มีลักษณะเด่นหลายประการที่แตกต่างจากการศึกษาแบบดั้งเดิม ประการแรกคือการเน้นหลักสูตรที่มีคุณลักษณะเชิงวิพากษ์ เชิงสหวิทยาการ ยึดโครงงานเป็นฐาน และที่สำคัญคือขับเคลื่อนด้วยการวิจัย ความรู้ในยุคนี้ไม่ได้หมายถึงการจดจำข้อเท็จจริงหรือตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการค้นคว้า วิจัย และการปฏิบัติจริง โดยเชื่อมโยงกับความรู้และประสบการณ์เดิมที่ผู้เรียนมีอยู่

การวิจัยชั้นเรียนตอบสนองต่อทิศทางนี้โดยตรง เพราะเป็นกระบวนการที่ช่วยสร้างองค์ความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละกลุ่ม แต่ละบริบท ด้วยกระบวนการที่เชื่อถือและตรวจสอบได้ เมื่อครูทำการวิจัยชั้นเรียน ครูจะต้องศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ออกแบบวิธีการแก้ไข และประเมินผลอย่างเป็นระบบ กระบวนการนี้จึงเป็นการสร้างความรู้ใหม่ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติในบริบทจริงของห้องเรียน

นอกจากนี้ การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ยังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนบทบาทของครูจากผู้ถ่ายทอดความรู้ไปเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า Facilitator ครูในยุคนี้ต้องช่วยให้นักเรียนสามารถเปลี่ยนสารสนเทศที่มีอยู่มากมายให้กลายเป็นความรู้ที่มีความหมาย และนำความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริง ครูจึงต้องเป็นนักออกแบบการเรียนรู้ที่มีความสามารถสูง มีความเข้าใจในหลักการสอน เข้าใจผู้เรียน และสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสม

การวิจัยชั้นเรียนช่วยพัฒนาครูให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ เพราะผ่านกระบวนการวิจัย ครูจะได้เรียนรู้ที่จะคิดอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้ง ตัดสินใจอย่างมีหลักการ และประเมินผลอย่างเป็นกลาง การทำวิจัยอย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างวัฒนธรรมคุณภาพในโรงเรียน ที่ทุกคนให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ใช่การพัฒนาโดยอาศัยความรู้สึกหรือการคาดเดาเพียงอย่างเดียว สิ่งนี้จะช่วยพัฒนาครูไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพที่แท้จริง

การพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงผ่านการวิจัยชั้นเรียน

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 คือการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ขั้นสูง ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความสามารถในการใช้ความรู้อย่างสร้างสรรค์ มีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม มีทักษะด้านข้อมูลสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี รวมถึงมีทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ทักษะเหล่านี้ไม่สามารถพัฒนาได้จากการท่องจำหรือการฟังบรรยายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ได้คิด ได้วิเคราะห์ และได้สร้างสรรค์ด้วยตนเอง

การวิจัยชั้นเรียนที่ดีจะออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาทักษะเหล่านี้ เมื่อครูต้องการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน ครูจะต้องออกแบบนวัตกรรมหรือวิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังครูอธิบายเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น การใช้กรณีศึกษา การให้แก้ปัญหาในสถานการณ์จริง หรือการให้วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล กิจกรรมเหล่านี้ต้องได้รับการออกแบบอย่างรอบคอบและทดสอบประสิทธิภาพผ่านกระบวนการวิจัย

งานวิจัยชั้นเรียนหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ใช้หลักการจัดการเรียนรู้ตามหลักไตรสิกขา สามารถพัฒนาการคิดแบบอภิปัญญาของผู้เรียนได้ การคิดแบบอภิปัญญาหรือ Metacognition คือการคิดเกี่ยวกับความคิดของตนเอง เป็นความสามารถในการรู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไร วางแผนการคิดอย่างไร ติดตามและประเมินการคิดของตนเองอย่างไร ทักษะนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้ผู้เรียนสามารถควบคุมและปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้

การพัฒนาทักษะการคิดสังเคราะห์ คิดบูรณาการ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดสร้างสรรค์ก็เป็นเป้าหมายสำคัญของการวิจัยชั้นเรียน ครูจะต้องออกแบบกิจกรรมที่ท้าทายให้ผู้เรียนนำความรู้จากหลายแหล่งมาประมวล วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ สังเคราะห์ให้เป็นความเข้าใจใหม่ และสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่า กระบวนการเหล่านี้ต้องได้รับการออกแบบอย่างเป็นระบบและประเมินผลอย่างชัดเจนว่าผู้เรียนพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้จริงหรือไม่ ซึ่งเป็นหัวใจของการวิจัยชั้นเรียน

การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับโลกแห่งความจริง

การจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงและเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในโลกความจริง ผู้เรียนต้องได้เรียนรู้จากปัญหาจริง สถานการณ์จริง และได้ฝึกทักษะที่จะนำไปใช้ในชีวิตจริง ไม่ใช่เพียงแค่เรียนรู้ทฤษฎีหรือความรู้ที่เป็นนามธรรมเท่านั้น การเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเห็นความเกี่ยวข้องของสิ่งที่เรียนกับชีวิต มีแรงจูงใจในการเรียนรู้มากขึ้น และสามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริงเมื่อจบการศึกษา

การวิจัยชั้นเรียนมีลักษณะที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้โดยธรรมชาติ เพราะเป็นการวิจัยที่มุ่งค้นหาคำตอบและแนวทางการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนจริงๆ ครูนักวิจัยควรเลือกปัญหาที่ใกล้ตัว เป็นปัญหาที่พบจริงในการจัดการเรียนการสอนมาทำวิจัย เพราะครูคือผู้ที่เข้าใจบริบทของปัญหาได้ดีที่สุด และเมื่อนำผลการวิจัยไปใช้ ก็จะสามารถปรับประยุกต์ให้เหมาะสมกับสภาพจริงได้ดีที่สุดเช่นกัน

นอกจากนี้ การทำวิจัยที่ใช้ปัญหาใกล้ตัวยังช่วยให้นักเรียนรู้สึกว่าวิจัยไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เฉพาะในห้องปฏิบัติการหรือโดยนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว อยู่ในชีวิตประจำวัน และทุกคนสามารถเป็นนักวิจัยได้ เมื่อนักเรียนเห็นครูทำวิจัยเพื่อแก้ปัญหาจริงในชั้นเรียน เห็นกระบวนการคิดและการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ นักเรียนเองก็จะเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ไปด้วย และสามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตของตนเองได้

การสร้างวัฒนธรรมการสืบค้นเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 วัฒนธรรมนี้หมายถึงการที่ทุกคนในชุมชนการเรียนรู้ให้ความสำคัญกับการตั้งคำถาม การค้นหาคำตอบ การทดลอง และการเรียนรู้จากประสบการณ์ การวิจัยชั้นเรียนเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมนี้ เพราะเมื่อครูเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการสอนของตนเอง เริ่มค้นหาคำตอบผ่านการวิจัย และเรียนรู้จากผลที่เกิดขึ้น ครูกำลังเป็นแบบอย่างของการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับนักเรียน นักเรียนที่เติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะมีทักษะการสืบค้นและการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในโลกที่ข้อมูลและความรู้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

วงจรการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

การวิจัยเชิงปฏิบัติการหรือ Action Research เป็นรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสมที่สุดสำหรับครูประจำการที่ต้องการพัฒนาการเรียนการสอน การวิจัยประเภทนี้มีลักษณะเป็นวงจรที่เรียกว่า PAOR หรือ PDCA โดย PAOR ย่อมาจาก Plan (วางแผน) Act (ปฏิบัติ) Observe (สังเกต) และ Reflect (สะท้อนผล) ส่วน PDCA ย่อมาจาก Plan (วางแผน) Do (ทำ) Check (ตรวจสอบ) และ Act (ปรับปรุง) ทั้งสองวงจรมีแนวคิดเดียวกันคือการทำงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

วงจรนี้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องหรือ Continuous Quality Improvement ซึ่งเป็นแนวคิดที่จำเป็นต่อการรับมือกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาคุณภาพไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วเสร็จ แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ละรอบจะทำให้เราเข้าใจปัญหาลึกซึ้งขึ้น มีวิธีการแก้ไขที่ดีขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ในการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ครูจะเริ่มจากการวางแผนว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร จากนั้นลงมือปฏิบัติตามแผน ระหว่างปฏิบัติจะมีการสังเกตและเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติจะมีการสะท้อนผลว่าสิ่งที่ทำไปนั้นได้ผลดีหรือไม่ ได้ผลดีในส่วนไหน ส่วนไหนยังไม่ดีพอ และควรปรับปรุงอย่างไร จากการสะท้อนผลนี้จะนำไปสู่การวางแผนรอบใหม่ที่ดีขึ้น และเริ่มวงจรใหม่อีกครั้ง วงจรนี้จะหมุนไปเรื่อยๆ โดยแต่ละรอบจะทำให้คุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ

การทำงานในลักษณะนี้ช่วยให้ครูมีวิถีชีวิตการทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำไปตามอารมณ์หรือความรู้สึก แต่ทำโดยอาศัยข้อมูล หลักฐาน และการคิดวิเคราะห์ ครูจะเห็นภาพของงานตลอดแนว รู้ว่าตนเองอยู่จุดไหนของกระบวนการ และควรทำอะไรต่อไป สิ่งนี้จะช่วยลดความเครียดและความรู้สึกหลงทางในการทำงาน เพราะมีทิศทางและขั้นตอนที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้การตัดสินใจมีคุณภาพมากขึ้น เพราะตัดสินใจจากข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ใช่จากการคาดเดาหรือความรู้สึกเพียงอย่างเดียว

การส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการเรียนรู้ร่วมกัน

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 เน้นการทำงานแบบร่วมมือและการเรียนรู้ร่วมกัน ทักษะการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร การประสานงาน และการแก้ไขข้อขัดแย้งเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งในโลกการทำงานยุคใหม่ ในห้องเรียนศตวรรษที่ 21 จึงมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือมากขึ้น ให้นักเรียนได้ฝึกทำงานเป็นกลุ่ม แก้ปัญหาร่วมกัน และเรียนรู้จากกัน

การวิจัยชั้นเรียนส่งเสริมการทำงานแบบร่วมมือในหลายระดับ ในระดับห้องเรียน การวิจัยที่ดีมักจะออกแบบกิจกรรมให้นักเรียนได้ทำงานร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ช่วยเหลือกัน และได้เรียนรู้จากกัน ในระดับครู การวิจัยชั้นเรียนส่งเสริมให้เกิดชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพหรือ Professional Learning Community ซึ่งเป็นกลุ่มครูที่มารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แบ่งปันความรู้ ช่วยเหลือกันแก้ปัญหา และเรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนาการสอนให้ดีขึ้น

เมื่อครูทำวิจัยชั้นเรียน ครูมักจะต้องปรึกษาผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนครู ผู้บริหาร หรือผู้เชี่ยวชาญ ในการออกแบบการวิจัย การพัฒนานวัตกรรม การออกแบบเครื่องมือ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล การปรึกษาหารือดังกล่าวจึงเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยเพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือของงานวิจัย

การปรึกษาเพื่อนครูช่วยให้ได้รับมุมมองจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงในการจัดการเรียนการสอน สามารถแลกเปลี่ยนปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เคยพบเจอ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบทของห้องเรียน

การปรึกษาผู้บริหารสถานศึกษาช่วยให้งานวิจัยสอดคล้องกับนโยบายและทิศทางการพัฒนาของสถานศึกษา ได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากร และสามารถนำผลการวิจัยไปขยายผลในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญช่วยให้งานวิจัยมีความถูกต้องทางวิชาการ วิธีการวิจัยมีความเหมาะสม เครื่องมือที่ใช้มีคุณภาพ และการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปอย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ

ดังนั้น การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นและคำแนะนำจากผู้อื่นจึงเป็นทักษะสำคัญของครูนักวิจัย ที่จะช่วยให้งานวิจัยชั้นเรียนบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนและยกระดับการจัดการเรียนการสอนอย่างยั่งยืน

การวิจัยชั้นเรียน กุญแจสู่การศึกษาในศตวรรษที่ 21 และการสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียน

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 จนถึง 2100 นั้นได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแนวคิด หลักการ และทิศทางของการจัดการศึกษา การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่เป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญที่ท้าทายระบบการศึกษาแบบเดิมๆ และเรียกร้องให้ครูและสถานศึกษาต้องปรับตัวอย่างจริงจัง ท่ามกลางความท้าทายและความซับซ้อนเหล่านี้ การวิจัยชั้นเรียนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมอบกระบวนการเชิงระบบที่ช่วยให้ครูสามารถพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

การเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยชั้นเรียนกับการศึกษาในศตวรรษที่ 21

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน โดยเน้นการสร้างองค์ความรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัย หลักสูตรในยุคนี้จะต้องมีคุณลักษณะเชิงวิพากษ์ มีความเป็นสหวิทยาการ ยึดโครงงานเป็นฐาน และที่สำคัญที่สุดคือต้องขับเคลื่อนด้วยการวิจัย ความรู้ในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่เพียงแค่การจดจำข้อเท็จจริงหรือตัวเลขอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการวิจัยและการปฏิบัติ โดยมีการเชื่อมโยงกับความรู้และประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ การวิจัยชั้นเรียนจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเหมาะสมกับผู้เรียน ด้วยกระบวนการที่เชื่อถือได้และสามารถตรวจสอบได้

บทบาทของครูในศตวรรษที่ 21 ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ครูไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แบบทางเดียวอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือหรือที่เรียกว่า facilitator ที่คอยช่วยให้นักเรียนสามารถเปลี่ยนสารสนเทศเป็นความรู้ และนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ครูมีความสำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้เกิดคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานของศตวรรษที่ 21 การวิจัยชั้นเรียนจึงเป็นกระบวนการที่ช่วยสร้างวัฒนธรรมคุณภาพในโรงเรียน พัฒนาศักยภาพของครูในการจัดการเรียนรู้ และนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาคุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ครูมีวิถีชีวิตการทำงานอย่างเป็นระบบและพัฒนาไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพอย่างแท้จริง

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 เน้นการพัฒนาทักษะขั้นสูงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะทักษะการเรียนรู้ขั้นสูงที่เน้นการใช้ความรู้อย่างสร้างสรรค์ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะด้านข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยี รวมถึงทักษะด้านชีวิตและอาชีพ การวิจัยชั้นเรียนเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ เพราะการวิจัยชั้นเรียนมุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดบูรณาการ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืองานวิจัยที่ใช้หลักการวิจัยชั้นเรียน เช่น การจัดการเรียนรู้ตามหลักไตรสิกขาที่สามารถพัฒนาการคิดแบบอภิปัญญาหรือ Metacognition ซึ่งเป็นการคิดเกี่ยวกับความคิดของตนเอง การรู้ว่าตนคิดอะไร วางแผนอย่างไร และประเมินตนเองอย่างไร ทักษะเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพของผู้เรียนในยุคปัจจุบัน

กระบวนการวิจัยชั้นเรียน โดยเฉพาะการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีความสอดคล้องกับวิธีการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 อย่างชัดเจน การจัดการศึกษาในศตวรรษนี้มุ่งเน้นการเรียนรู้จากสภาพจริงและการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในโลกความเป็นจริง การวิจัยชั้นเรียนเป็นการวิจัยที่มุ่งค้นหาคำตอบและแนวทางการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนจริงๆ โดยควรใช้ปัญหาที่ใกล้ตัวมาทำวิจัย เพื่อให้นักเรียนรู้สึกว่าการวิจัยเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน การสร้างวัฒนธรรมการสืบค้นเป็นสิ่งสำคัญในการศึกษาศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นกระบวนการที่นักเรียนจะต้องเรียนรู้ผ่านการวิจัยและการปฏิบัติในโครงงาน การวิจัยชั้นเรียนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมคุณภาพนี้

วงจรการเรียนรู้และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การทำงานตามวงจร PAOR ซึ่งประกอบด้วยการวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล หรือวงจร PDCA คือการทำงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องที่จำเป็นต่อการรับมือกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การวิจัยชั้นเรียนยังส่งเสริมการทำงานแบบร่วมมือและส่งเสริมให้เกิดชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นให้นักเรียนทำงานอย่างร่วมมือกันและให้ครูร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ความสำคัญของการวิจัยชั้นเรียนสำหรับครูและโรงเรียน

การวิจัยชั้นเรียนในบริบทของครูประจำการและโรงเรียนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดและเป็นกลไกสำคัญในการสร้างและพิสูจน์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยเน้นการสร้างองค์ความรู้ที่เชื่อถือได้และสอดคล้องกับสภาพปัญหาจริงที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน การวิจัยชั้นเรียนเป็นกระบวนการที่เป็นระบบและมีความจำเป็นทั้งในทางปฏิบัติและทางกฎหมายสำหรับครูในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา กระบวนการนี้คือการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน และเป็นกระบวนการสร้างวัฒนธรรมคุณภาพในโรงเรียนที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาการทำงานโดยมีความรู้เป็นฐานของการพัฒนา

ความสำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งคือความจำเป็นที่ต้องมีองค์ความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเหมาะสมกับผู้เรียนด้วยกระบวนการที่เชื่อถือได้และตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชั้นเรียนในยุคปัจจุบัน การทำวิจัยช่วยให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ครูและโรงเรียนสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน การวิจัยชั้นเรียนมุ่งค้นหาคำตอบและแนวทางการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน โดยเป็นการลงมือปฏิบัติของครูเพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนในด้านผลสัมฤทธิ์ คุณลักษณะ พฤติกรรม และทักษะกระบวนการอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง และเชื่อถือได้

เป้าหมายสูงสุดของการวิจัยชั้นเรียนคือการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครูนักวิจัยควรเลือกปัญหาที่ใกล้ตัวและเป็นปัญหาที่พบจริงๆ ในการจัดการเรียนการสอนมาทำวิจัย เพราะไม่มีใครเข้าใจบริบทของปัญหาได้ดีเท่ากับตัวครูเอง งานวิจัยที่ดีควรจะทำเรื่องที่อยู่รอบโรงเรียนหรือใช้ปัญหาใกล้ตัวมาทำ เพราะจะทำให้การวิจัยมีความหมายและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง การวิจัยช่วยให้ครูมีวิถีชีวิตการทำงานอย่างเป็นระบบ มีการตัดสินใจที่มีคุณภาพ และช่วยพัฒนาไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพ ผลพลอยได้ที่สำคัญคือการพัฒนาตนเองของครูผู้สอน ซึ่งจะทำให้ครูมีความสามารถในการพัฒนาการเรียนการสอนได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การวิจัยยังตอบสนองต่อข้อกำหนดเชิงนโยบาย กฎหมาย และระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติได้กำหนดให้ครูต้องทำวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน และมาตรฐานการประเมินคุณภาพภายนอกของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาก็กำหนดให้ครูต้องใช้การวิจัยปฏิบัติการในการพัฒนานวัตกรรม การวิจัยชั้นเรียนจึงไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นที่ครูและโรงเรียนต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

การสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนผ่านกระบวนการวิจัย

การวิจัยชั้นเรียนมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการสร้างนวัตกรรม โดยถือเป็นองค์ประกอบหลักในขั้นตอนที่สามของกระบวนการดำเนินงานวิจัยชั้นเรียนที่เรียกว่าการพัฒนานวัตกรรม เมื่อครูนักวิจัยได้วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาแล้ว ขั้นต่อไปคือการวิเคราะห์หาวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาที่พบบ่อยในชั้นเรียนคือการสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมที่สร้างขึ้นนี้ถือเป็นตัวแปรต้นที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริม พัฒนา หรือแก้ไขปัญหาของผู้เรียน นวัตกรรมสามารถมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ อุปกรณ์ ชุดฝึก วิธีการสอน หรือวิธีการปรับพฤติกรรม

การพัฒนานวัตกรรมคือการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาตัวกระตุ้นซึ่งก็คือสื่อ และหรือการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัส ระบบสมอง และเกิดปัญญาขึ้นมา นวัตกรรมการศึกษามีหลายประเภทที่ครูสามารถสร้างและพัฒนาผ่านการวิจัย ประเภทแรกคือนวัตกรรมการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ เช่น การสอนแบบโมดูล การสอนซ่อมเสริม การสอนโดยเพื่อนสอนเพื่อน หรือการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ประเภทที่สองคือนวัตกรรมสื่อการสอน เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน มัลติมีเดีย หรือชุดการสอน ประเภทที่สามคือนวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เช่น หลักสูตรบูรณาการหรือหลักสูตรท้องถิ่น และประเภทสุดท้ายคือนวัตกรรมทางด้านการประเมินผล เช่น การพัฒนาคลังข้อสอบหรือแบบสอบวินิจฉัยทางปัญญา

การวิจัยชั้นเรียนทำให้มั่นใจได้ว่านวัตกรรมที่สร้างขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพจริงผ่านขั้นตอนที่เรียกว่าการพิสูจน์ประสิทธิภาพของนวัตกรรม การตรวจสอบเบื้องต้นควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาและการสื่อความหมาย จากนั้นจึงนำนวัตกรรมไปทดลองใช้และปรับปรุงโดยนำไปทดลองกับผู้เรียนกลุ่มเล็กๆ เช่น หนึ่งคน สามคน ห้าคน หรือสิบคน เพื่อหาประสิทธิภาพตามหลักการและนำผลที่ได้มาปรับปรุงข้อบกพร่อง ขั้นตอนสุดท้ายคือการหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การบรรยายเปรียบเทียบสภาพก่อนและหลังการใช้นวัตกรรม หรือวิธีคำนวณหาประสิทธิภาพตามสูตรที่กำหนด

การคำนวณประสิทธิภาพของนวัตกรรมมักใช้เกณฑ์ที่เรียกว่า E1 ต่อ E2 เช่น 80 ต่อ 80 หรือ 90 ต่อ 90 โดยที่ E1 คือค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนเต็มระหว่างการปฏิบัติหรือกระบวนการ และ E2 คือค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนเต็มหลังการใช้นวัตกรรมหรือผลลัพธ์ การที่นวัตกรรมมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้แสดงว่าสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้จริงและมีความน่าเชื่อถือ การวิจัยชั้นเรียนจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่เป็นกระบวนการสร้างนวัตกรรมพร้อมกับการตรวจสอบคุณภาพเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ครูสร้างขึ้นนั้นสามารถพัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้อย่างแท้จริงและเชื่อถือได้

ตัวอย่างไฟล์เอกสาร

เอกสารเป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจัตุรัส ผู้แต่ง

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

ข่าวยอดนิยม

ความคิดเห็นล่าสุด