งบลงทุนปี 2570 ของ สพฐ เปิดเกณฑ์และนโยบายสำคัญที่ส่งเสริมคุณภาพการศึกษาไทยอย่างทั่วถึง
การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 สำหรับงบลงทุน ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือที่เรารู้จักกันในนาม สพฐ นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศไทย ด้วยเป้าหมายหลักที่มุ่งเน้นการสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับเด็กไทยทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใด พร้อมกับการยกระดับมาตรฐานการเรียนการสอนให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21
การจัดทำงบประมาณในครั้งนี้มิใช่เพียงแค่การจัดสรรเงินไปยังโรงเรียนต่างๆ อย่างทั่วไป แต่เป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบที่คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนที่เผชิญกับความยากลำบากในด้านโครงสร้างพื้นฐานและขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย นโยบายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปฏิรูปการศึกษาไทยให้ก้าวทันโลก พร้อมทั้งสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันสำหรับเยาวชนไทยทุกคนในการพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่

นโยบายมุ่งเน้นและกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการสนับสนุนเป็นลำดับแรก
หนึ่งในจุดเด่นของการจัดสรรงบประมาณในปีนี้คือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน โดย สพฐ ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโรงเรียนที่อยู่ในโครงการ “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” ซึ่งครอบคลุมโรงเรียนทั้งหมด 1,808 แห่งทั่วประเทศ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาในระดับอำเภอให้มีโรงเรียนต้นแบบที่สามารถให้บริการการศึกษาที่มีมาตรฐานสูงแก่นักเรียนในพื้นที่
นอกจากนี้ โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลักษณะพิเศษ เช่น พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดารและพื้นที่เกาะต่างๆ ก็ได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นพิเศษเช่นกัน เพราะโรงเรียนเหล่านี้มักเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษามากกว่าโรงเรียนในเขตเมือง การสนับสนุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งมุ่งหวังให้เด็กไทยทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเกิดและเติบโตในพื้นที่ใด
การจัดตั้งงบประมาณทั้งหมดจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย เป้าหมาย และจุดเน้นในการดำเนินงานของ สพฐ โดยคำนึงถึงการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่การจัดหาอุปกรณ์หรือก่อสร้างอาคาร แต่ต้องเป็นการลงทุนที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนและความสามารถในการแข่งขันของพวกเขาในอนาคต
เกณฑ์สำคัญสำหรับการจัดสรรงบประมาณค่าครุภัณฑ์
การจัดสรรงบประมาณสำหรับครุภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้แน่ใจว่าทุกโรงเรียนได้รับสิ่งที่จำเป็นตามความต้องการที่แท้จริง การจัดสรรจะเน้นที่ความขาดแคลนและความจำเป็นเป็นหลัก โดยมีการกำหนดตามขนาดและระดับการศึกษาที่โรงเรียนเปิดสอน
สำหรับขนาดโรงเรียน มีการแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามจำนวนนักเรียน ได้แก่ โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียน 21 ถึง 120 คน โรงเรียนขนาดกลางที่มีนักเรียน 121 ถึง 600 คน โรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีนักเรียน 601 ถึง 1,500 คน และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษที่มีนักเรียนตั้งแต่ 1,501 คนขึ้นไป การแบ่งประเภทนี้ช่วยให้การจัดสรรครุภัณฑ์มีความเหมาะสมกับขนาดและความต้องการของแต่ละโรงเรียน
อย่างไรก็ตาม มีเกณฑ์นักเรียนขั้นต่ำที่สำคัญคือ โรงเรียนที่มีนักเรียน 20 คนลงมาจะไม่สามารถขอจัดตั้งงบประมาณค่าครุภัณฑ์ได้ ยกเว้นโรงเรียนที่ตั้งในพื้นที่ลักษณะพิเศษหรือโรงเรียนในโครงการพัฒนาการจัดการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับการยกเว้นเนื่องจากสภาพพื้นที่และความจำเป็นพิเศษ
การขอจัดตั้งงบประมาณทุกรายการต้องเป็นไปตามความขาดแคลนและจำเป็นตามเกณฑ์มาตรฐานครุภัณฑ์ที่กำหนดไว้ ไม่สามารถขอเพียงเพราะต้องการหรือเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ แต่ต้องพิสูจน์ได้ว่ามีความจำเป็นอย่างแท้จริงตามมาตรฐานที่วางไว้
ครุภัณฑ์เฉพาะทางที่เน้นทักษะแห่งอนาคต
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการจัดสรรงบประมาณปีนี้คือการให้ความสำคัญกับครุภัณฑ์ที่สนับสนุนการเรียนรู้สมัยใหม่และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งครุภัณฑ์การเรียนการสอน Coding ซึ่งจัดเป็นครุภัณฑ์กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเรียนการสอนการเขียนโปรแกรมไม่ใช่แค่ทักษะทางเทคนิค แต่เป็นการพัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล
ครุภัณฑ์การเรียนการสอนปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ก็ได้รับการจัดสรรงบประมาณเช่นกัน รวมถึงชุดบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ ชุดเซ็นเซอร์หุ่นยนต์การศึกษา และแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและฝึกโมเดล AI การที่นักเรียนไทยได้เรียนรู้และทดลองกับเทคโนโลยี AI ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจะช่วยเตรียมความพร้อมให้พวกเขาสำหรับโลกที่ AI มีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิต
ครุภัณฑ์สะเต็มศึกษาหรือ STEM ซึ่งครอบคลุมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ก็ได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง การศึกษาแบบ STEM ไม่ใช่แค่การเรียนวิชาต่างๆ แยกกัน แต่เป็นการบูรณาการความรู้ทั้งสี่สาขาเข้าด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการอย่างมาก
สำหรับครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง สามารถขอจัดตั้งได้เฉพาะโรงเรียนที่ตั้งในพื้นที่ลักษณะพิเศษ เช่น พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดารและพื้นที่เกาะเท่านั้น เพราะโรงเรียนเหล่านี้มีความจำเป็นพิเศษในการเดินทางและขนส่งสิ่งของที่แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป
การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของครุภัณฑ์ก็เป็นเรื่องสำคัญ โรงเรียนสามารถเลือกใช้รายการมาตรฐานจากสำนักงบประมาณ หรือกำหนดคุณลักษณะเฉพาะเอง แต่ต้องไม่กีดกันสินค้าไทยหรือผู้เสนอราคารายใดรายหนึ่งเพื่อความเป็นธรรมและโปร่งใส และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
เกณฑ์การจัดสรรงบประมาณค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง
การจัดสรรงบประมาณสำหรับที่ดินและสิ่งก่อสร้างอาจฟังดูเรียบง่าย แต่ในความเป็นจริงมีความซับซ้อนและต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของนักเรียนและครูโดยตรง การจัดตั้งงบประมาณสิ่งก่อสร้างจะพิจารณาจากดัชนีความขาดแคลนจำเป็นและข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ชัดเจน
การคำนวณความขาดแคลนห้องเรียนใช้ข้อมูลนักเรียน ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2568 จากระบบ DMC โดยระดับอนุบาลคิดที่ 30 คนต่อห้อง และหากมีเศษก็สามารถปัดเพิ่มได้อีก 1 ห้อง ส่วนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาคิดที่ 40 คนต่อห้อง และเช่นเดียวกันหากมีเศษก็ปัดเพิ่มได้อีก 1 ห้อง นอกจากห้องเรียนปกติแล้ว ยังมีการกำหนดจำนวนห้องพิเศษที่ควรมีตามช่วงจำนวนนักเรียน เช่น โรงเรียนที่มีนักเรียน 120 คนลงมาควรมีห้องพิเศษได้อีก 3 ห้อง เพื่อรองรับกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
อาคารเรียนวิกฤตเป็นประเด็นที่ได้รับความสำคัญเป็นพิเศษ โดยหมายถึงอาคารเรียนที่ชำรุดทรุดโทรมและมีนักเรียนจำนวน 120 คนลงมา ซึ่งต้องมีเงื่อนไขครบทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ อาคารมีอายุใช้งานเกิน 25 ปี มีโครงสร้างหลักเสาแตกร้าวมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ การประเมินค่าซ่อมแซมเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าอาคารที่เหลืออยู่ และได้รับอนุญาตให้รื้อถอนจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
โรงเรียนทั่วไปที่มีนักเรียน 41 ถึง 120 คนและมีอาคารวิกฤตสามารถเสนอขอจัดตั้งงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนเฉพาะกรณีทดแทนอาคารเดิมที่ได้รับอนุญาตให้รื้อถอนได้ 1 หลัง เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความจำเป็น
งบผูกพันและมาตรการพิเศษสำหรับการก่อสร้าง
สำหรับโรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 400 คนขึ้นไปและมีความขาดแคลนห้องเรียนตามเกณฑ์ตั้งแต่ 10 ห้องขึ้นไป จะได้รับการพิจารณาในรูปแบบงบผูกพันสำหรับอาคารเรียนใหม่ งบผูกพันเป็นงบประมาณที่มีการวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าหลายปี เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
สิ่งก่อสร้างในเขตแผ่นดินไหวต้องได้รับความระมัดระวังเป็นพิเศษ โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหว ซึ่งจำแนกเป็นบริเวณที่ 1, 2 และ 3 ตามกฎกระทรวง ต้องใช้แบบอาคารเรียนและอาคารประกอบตามแบบมาตรฐานที่ สพฐ กำหนดไว้สำหรับเขตแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าอาคารสามารถทนต่อแรงสั่นสะเทือนและปกป้องความปลอดภัยของนักเรียนและครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ค่าปรับปรุงซ่อมแซมก็เป็นอีกหนึ่งรายการที่มีเกณฑ์ชัดเจน โดยต้องเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ขึ้นทะเบียนทรัพย์สินและสามารถเสนอขอจัดตั้งงบประมาณตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อโรงเรียน หากการซ่อมแซมกระทบต่อโครงสร้างหลัก ต้องมีแบบรูปรายการที่ผ่านการรับรองจากวิศวกรและหรือสถาปนิกผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เพื่อความปลอดภัยและมาตรฐานในการก่อสร้าง
การยืนยันพื้นที่ก่อสร้างเป็นเรื่องสำคัญที่โรงเรียนต้องดำเนินการ โดยต้องยืนยันว่ามีพื้นที่เพียงพอในการก่อสร้างอาคารใหม่และต้องมีระยะห่างตามกฎกระทรวงควบคุมอาคารที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและให้มั่นใจว่าการก่อสร้างเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทุกประการ
การกระจายอำนาจและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในจุดแข็งของระบบการจัดสรรงบประมาณในปีนี้คือการกระจายอำนาจให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดำเนินการจัดตั้งงบประมาณค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง การกระจายอำนาจนี้ทำให้การจัดสรรงบประมาณตรงตามความต้องการของพื้นที่และคุ้มค่าในการใช้งานมากขึ้น เพราะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ย่อมเข้าใจบริบทและความต้องการที่แท้จริงดีกว่าการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์
ความถูกต้องของข้อมูลเป็นสิ่งที่เน้นย้ำอย่างหนัก โรงเรียนและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้องตรวจสอบและยืนยันข้อมูลพิกัด Latitude และ Longitude ในระบบ DMC และต้องบันทึกและยืนยันข้อมูลในระบบสินทรัพย์ของ สพฐ ที่เรียกว่า OBEC-Asset ให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน หากไม่ดำเนินการจะไม่สามารถขอจัดตั้งงบประมาณได้ ซึ่งเป็นการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณมีความถูกต้องและเชื่อถือได้
ความพร้อมของเอกสารก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ โรงเรียนต้องจัดทำและจัดส่งเอกสารประกอบคำขอจัดตั้งงบประมาณให้ครบถ้วน ถูกต้อง และตรงตามข้อมูลที่บันทึกในเว็บไซต์ภายในเวลาที่กำหนด มิฉะนั้น สพฐ จะไม่พิจารณารายการดังกล่าว ซึ่งเป็นการสร้างวินัยและความรับผิดชอบในการบริหารจัดการงบประมาณภาครัฐ
กระบวนการยื่นคำขอและการอนุมัติที่เป็นระบบ
กระบวนการในการยื่นคำขอจัดตั้งงบประมาณมีขั้นตอนที่ชัดเจนและเป็นระบบ สพฐ ทำหน้าที่หลักในการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณและเกณฑ์การขอจัดตั้งงบประมาณ จัดทำคู่มือและกำหนดปฏิทินการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสำนักงบประมาณ ประมวลผลคำขอจัดตั้งงบประมาณจากทุกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และแต่งตั้งคณะกรรมการลงพื้นที่ตรวจสอบกระบวนการยื่นคำขอและการอนุมัติที่เป็นระบบ
กระบวนการในการยื่นคำขอจัดตั้งงบประมาณมีขั้นตอนที่ชัดเจนและเป็นระบบ สพฐ. ทำหน้าที่หลักในการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณและเกณฑ์การขอจัดตั้งงบประมาณ จัดทำคู่มือและกำหนดปฏิทินการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสำนักงบประมาณ ประมวลผลคำขอจัดตั้งงบประมาณจากทุกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และแต่งตั้งคณะกรรมการลงพื้นที่ตรวจสอบ
ขั้นตอนการดำเนินการในระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามีบทบาทสำคัญในการรวบรวมและกลั่นกรองคำขอจากสถานศึกษา โดยจัดประชุมชี้แจงแนวทางและเกณฑ์การยื่นคำขอให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา ตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องของเอกสารประกอบการยื่นคำขอ จัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นเร่งด่วนและผลกระทบต่อการจัดการศึกษา พร้อมทั้งจัดทำรายงานสรุปและข้อเสนอแนะเพื่อนำเสนอต่อ สพฐ. ภายในกรอบเวลาที่กำหนด
การพิจารณาและอนุมัติงบประมาณ
คณะกรรมการที่ สพฐ. แต่งตั้งจะดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบความเป็นจริงและความเหมาะสมของโครงการที่ยื่นขอ โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ความสอดคล้องกับนโยบายการศึกษาของชาติ ความจำเป็นและความเร่งด่วนของโครงการ ความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ ความพร้อมในการดำเนินงานของสถานศึกษา และผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษา
การติดตามและประเมินผล
หลังจากได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว สถานศึกษาต้องรายงานความก้าวหน้าในการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนที่กำหนด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทำหน้าที่กำกับติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ส่วน สพฐ. จะประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณและผลสัมฤทธิ์ของโครงการ เพื่อนำข้อมูลไปปรับปรุงกระบวนการจัดสรรงบประมาณในปีถัดไป
กระบวนการที่เป็นระบบนี้ช่วยให้การจัดสรรงบประมาณมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสามารถนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นการสร้างความเป็นธรรมในการกระจายทรัพยากรไปยังสถานศึกษาตามความจำเป็นที่แท้จริง
ตัวอย่างไฟล์เอกสาร



