วันจันทร์, พฤศจิกายน 24, 2025
spot_img
หน้าแรกข่าวการศึกษาแบ่งปันไฟล์ รายงานผลนวัตกรรมวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice)ด้านการนำผลการประเมินระดับชาติ (Reading Test : RT) มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

แบ่งปันไฟล์ รายงานผลนวัตกรรมวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice)ด้านการนำผลการประเมินระดับชาติ (Reading Test : RT) มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

นวัตกรรม “ป.1 กด like อ่านได้เขียนเป็น” ปฏิวัติการเรียนรู้ด้วย Active Learning สู่ความสำเร็จเหนือมาตรฐานประเทศ

การศึกษาในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะกำหนดอนาคตทางการเรียนของเด็กไทยทุกคน โดยเฉพาะทักษะการอ่านและการเขียนที่เป็นเสมือนเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้วิชาอื่นๆ ต่อไปในอนาคต แต่ปัญหาที่พบบ่อยในหลายโรงเรียนคือนักเรียนชั้น ป.1 จำนวนมากยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ในวิชาอื่นๆ และความมั่นใจของเด็กอย่างมาก

โรงเรียนได้ตระหนักถึงปัญหานี้และได้พัฒนานวัตกรรมที่ชื่อว่า “ป.1 กด like อ่านได้เขียนเป็น เน้นการปฏิบัติจริงตามกระบวนการเรียนรู้ Active Learning” ขึ้นมา นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่ยังสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง โดยโรงเรียนได้รับการรับรองว่าเป็นโรงเรียนที่ปลอดการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และที่สำคัญคือคะแนนเฉลี่ยการประเมินความสามารถด้านการอ่านออก (Reading Test: RT) ของนักเรียนสูงถึง 89.70 คะแนน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ 71.58 คะแนนอย่างชัดเจน

ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองเอง แต่เป็นผลมาจากการบูรณาการกระบวนการบริหารจัดการคุณภาพแบบ PDCA (Plan, Do, Check, Act) เข้ากับกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่เน้นให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางและมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้ปกครองและหน่วยงานต้นสังกัดอย่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

จุดเริ่มต้นของนวัตกรรม เมื่อพบปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

ปัญหาหลักที่นำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมนี้คือการที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวนหนึ่งยังคงมีปัญหาด้านการอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ แม้จะผ่านการเรียนมาแล้วก็ตาม เมื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาอย่างลึกซึ้ง พบว่านักเรียนเหล่านี้มีปัญหาพื้นฐานที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ ความรู้และทักษะด้านการจำสระยังไม่เข้มแข็งพอ การจำพยัญชนะยังไม่คล่อง และที่สำคัญคือทักษะการสะกดคำและการแจกลูกที่ยังไม่เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง

ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อวงกว้าง เมื่อนักเรียนไม่สามารถอ่านได้ ก็จะไม่สามารถเข้าใจโจทย์คณิตศาสตร์ได้ ไม่สามารถอ่านเนื้อหาวิชาอื่นๆ ได้ และที่สำคัญคือความมั่นใจของเด็กจะลดลง ทำให้ไม่กล้าแสดงออกและไม่อยากเรียน ซึ่งจะสร้างวงจรของความล้มเหลวที่ส่งผลในระยะยาว

โรงเรียนจึงได้ตระหนักว่าการแก้ปัญหานี้ต้องเริ่มตั้งแต่ต้น ไม่สามารถรอให้นักเรียนมีปัญหาแล้วค่อยมาแก้ได้ จึงได้มีการพัฒนานวัตกรรมที่ครอบคลุมและเป็นระบบขึ้นมา โดยเริ่มตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 3 เพื่อวางรากฐานที่แข็งแรง และดำเนินการต่อเนื่องจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อย่างเป็นขั้นตอนและมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือทำให้นักเรียนทุกคนอ่านออกเขียนได้ และมีคะแนนการประเมิน RT สูงกว่าร้อยละ 80

สามเสาหลักของนวัตกรรม ป.1 กด like

นวัตกรรม “ป.1 กด like อ่านได้เขียนเป็น” ประกอบด้วยสามกิจกรรมหลักที่เชื่อมโยงและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการสร้างบ้านที่ต้องเริ่มจากการวางรากฐานที่มั่นคง ตั้งเสาที่แข็งแรง และสร้างโครงสร้างที่สมบูรณ์ โดยแต่ละกิจกรรมมีวัตถุประสงค์และวิธีการที่แตกต่างกันแต่เสริมกันอย่างลงตัว

กิจกรรมแรกคือการเตรียมพร้อมพื้นฐานส่งต่อชั้นสูง ซึ่งดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ของชั้นอนุบาล 3 กิจกรรมนี้ถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความรู้และทักษะพื้นฐานให้กับเด็ก นักเรียนจะได้เรียนรู้และฝึกฝนการจดจำพยัญชนะทั้ง 44 ตัว การรู้จักสระทั้งหมด และการเข้าใจเรื่องวรรณยุกต์ที่เป็นหัวใจสำคัญของภาษาไทย นอกจากนี้ยังมีการฝึกอ่านและเขียนคำง่ายๆ ที่ไม่มีตัวสะกด เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและความมั่นใจในการใช้ภาษา

สิ่งที่น่าสนใจของกิจกรรมแรกคือมีการจัดการเรียนพิเศษเพิ่มเติมหลังเลิกเรียนด้วย โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนค่าเรียนอย่างดี เพราะเห็นความสำคัญของการวางรากฐานที่แข็งแรงตั้งแต่เริ่มต้น การเรียนเพิ่มเติมนี้ไม่ได้เป็นการบังคับหรือกดดันเด็ก แต่เป็นการเสริมสร้างทักษะในบรรยากาศที่สนุกสนานและเหมาะสมกับวัยของเด็ก ทำให้เด็กได้รับความรู้เพิ่มเติมจากห้องเรียนปกติโดยไม่รู้สึกเครียด

กิจกรรมที่สองคือการเสริมความคงทนในช่วงปิดเทอม หรือที่เรียกว่า “ปิดเทอม เพิ่มเติมความคงทน” กิจกรรมนี้ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญที่มักพบในระบบการศึกษาคือการที่นักเรียนมักลืมสิ่งที่เรียนมาในช่วงปิดเทอม โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กที่ยังต้องการการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ การดำเนินงานในกิจกรรมนี้เป็นการเรียนรู้เพิ่มเติมในรูปแบบ On hand คือให้นักเรียนได้ลงมือทำแบบฝึกหัดที่เน้นการอ่านและการเขียนด้วยตัวเองที่บ้าน

ความพิเศษของกิจกรรมที่สองคือการมีส่วนร่วมอย่างเข้มข้นของผู้ปกครอง ซึ่งถือเป็น “ครูคนที่ 2” ที่คอยดูแลเอาใจใส่การทำการบ้านของลูกในทุกๆ วัน ผู้ปกครองไม่ได้เพียงแค่ให้เด็กทำการบ้านเองแล้วเซ็นชื่อ แต่จะคอยติดตามและช่วยเหลือเมื่อเด็กมีปัญหา นอกจากนี้ครูประจำวิชายังได้ติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอผ่าน LINE กลุ่มผู้ปกครอง ทำให้เกิดการสื่อสารสองทางที่มีประสิทธิภาพ ครูสามารถให้คำแนะนำผู้ปกครองได้ทันที และผู้ปกครองสามารถสอบถามปัญหาหรือข้อสงสัยได้ตลอดเวลา

กิจกรรมที่สามคือกิจกรรมหลักที่ชื่อว่า “ป.1 กด like อ่านได้เขียนเป็น” ซึ่งดำเนินการตลอดปีการศึกษา 2564 เมื่อนักเรียนขึ้นเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กิจกรรมนี้เป็นการนำกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning มาใช้อย่างเป็นระบบและเข้มข้น โดยแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนที่เรียกว่า 5 ขั้นตอนของ Active Learning ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข มีส่วนร่วม และเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง

ขั้นตอนแรกคือ “เตรียมใจให้เริงร่า” เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการเตรียมความพร้อมทางจิตใจของนักเรียน ครูจะใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การร้องเพลง การเล่นเกม หรือการเล่านิทานสั้นๆ เพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานในห้องเรียน เป็นการทำให้เด็กตื่นเต้นและอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แทนที่จะรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อหรือยาก การเริ่มต้นที่ดีจะทำให้เด็กมีพลังและความพร้อมในการเรียนรู้ตลอดทั้งคาบ

ขั้นตอนที่สองคือ “ดึงเนื้อหามาสัมพันธ์” เป็นขั้นตอนหลักในการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน ในขั้นตอนนี้มีกิจกรรมสำคัญหลายอย่างที่ดำเนินการทุกวัน ได้แก่ การฝึกอ่านแจกลูกประสมคำทุกวัน โดยครูจะสอนให้นักเรียนเข้าใจหลักการแจกลูกและฝึกฝนจนจำได้อย่างคล่องแคล่ว นอกจากนี้ยังมีการให้นักเรียนเขียนตามคำบอกทุกวัน โดยครูจะบอกคำให้เด็กเขียนวันละ 10 ถึง 15 คำ ซึ่งเป็นการฝึกฝนที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การใช้สื่อบัตรภาพและบัตรคำก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เด็กเชื่อมโยงภาพกับคำ และจำคำได้ง่ายขึ้น

ขั้นตอนที่สามคือ “บูรณาการสร้างความรู้” เป็นการยกระดับการเรียนรู้ให้สูงขึ้นโดยการเชื่อมโยงความรู้จากวิชาหนึ่งไปสู่อีกวิชาหนึ่ง โดยใช้วิชาภาษาไทยเป็นแกนหลักหรือจุดเริ่มต้น แล้วขยายไปเชื่อมโยงกับกลุ่มสาระวิชาอื่นๆ เช่น ศิลปะ คณิตศาสตร์ หรือสังคมศึกษา ตัวอย่างเช่น เมื่อเรียนเรื่องสัตว์ นักเรียนไม่เพียงแต่เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับสัตว์ แต่ยังได้วาดภาพสัตว์ในวิชาศิลปะ นับจำนวนสัตว์ในวิชาคณิตศาสตร์ และเรียนรู้เรื่องที่อยู่อาศัยของสัตว์ในวิชาสังคมศึกษา การบูรณาการเช่นนี้ทำให้เด็กเห็นความเชื่อมโยงของความรู้และสามารถนำไปใช้ได้จริง

ขั้นตอนที่สี่คือ “ฝึกซ้ำๆ ย้ำทบทวน” เป็นการสรุปและทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียนรู้มาในวันนั้น แต่ไม่ได้ทำในลักษณะที่น่าเบื่อ ครูจะใช้วิธีการที่สนุกสนาน เช่น เกมแสนสนุกต่างๆ ที่ช่วยให้เด็กได้ย้ำทวนความรู้โดยไม่รู้สึกว่ากำลังเรียนหนังสือ อาจเป็นเกมหาคำ เกมจับคู่ภาพกับคำ หรือเกมแข่งขันอ่านคำให้เร็วที่สุด การทบทวนในรูปแบบเกมนี้ทำให้เด็กจดจำได้นานและรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้

ขั้นตอนสุดท้ายคือ “สร้างชิ้นงานตามศักยภาพ” เป็นขั้นตอนที่ให้เด็กได้แสดงออกและนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้จริง โดยให้นักเรียนสร้างผลงานต่างๆ เช่น หนังสือเล่มเล็กที่เด็กเขียนเรื่องและวาดภาพประกอบเอง นิทานหน้าเดียวที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง หรือหนังสือสามมิติที่มีความซับซ้อนมากขึ้น การสร้างชิ้นงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทดสอบความเข้าใจของนักเรียน แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจและความมั่นใจให้กับเด็ก เมื่อได้เห็นผลงานของตัวเอง

นอกจากกิจกรรมทั้ง 5 ขั้นตอนแล้ว ยังมีเทคนิคพิเศษที่เรียกว่า “เพื่อนช่วยเพื่อน” ซึ่งเป็นการจับคู่นักเรียนที่อ่านได้ดีแล้วกับนักเรียนที่ยังอ่านไม่ได้หรืออ่านได้ไม่คล่อง การใช้เทคนิคนี้ทำให้เกิดประโยชน์สองทาง นักเรียนที่เก่งขึ้นได้ฝึกความรับผิดชอบและทักษะการสอนผู้อื่น ในขณะที่นักเรียนที่กำลังฝึกอ่านจะได้รับความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดจากเพื่อนซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายและกล้าถามมากกว่าการถามครูโดยตรง และที่สำคัญครูจะให้คำชมเชยและเสริมแรงอย่างสม่ำเสมอเมื่อนักเรียนปฏิบัติได้ดี เพื่อสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจให้กับเด็ก

ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ตัวเลขที่พิสูจน์ความสำเร็จ

ผลลัพธ์จากการดำเนินงานนวัตกรรม “ป.1 กด like อ่านได้เขียนเป็น” ในปีการศึกษา 2564 นั้นเกินความคาดหมายอย่างมาก เมื่อพิจารณาจากผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านออกของผู้เรียน (Reading Test: RT) ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดมาตรฐานที่ใช้ประเมินทักษะการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั่วประเทศ พบว่านักเรียนของโรงเรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมทั้งสองด้านอยู่ที่ 89.70 คะแนน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนดไว้ที่ร้อยละ 80 และที่น่าภาคภูมิใจยิ่งกว่าคือคะแนนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ 71.58 คะแนนถึง 18.12 คะแนน

เมื่อพิจารณารายละเอียดในแต่ละด้าน พบว่าทักษะการอ่านออกเสียงของนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 90.20 แสดงให้เห็นว่านักเรียนสามารถถอดรหัสตัวอักษร อ่านคำ และออกเสียงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่วนทักษะการอ่านรู้เรื่องมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 89.20 สะท้อนให้เห็นว่านักเรียนไม่เพียงแต่อ่านออกเสียงได้เท่านั้น แต่ยังเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

ความสำเร็จที่โดดเด่นนี้ไม่ได้มาจากนักเรียนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นความสำเร็จที่กระจายไปทั่วทั้งห้องเรียน เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับดีเยี่ยม (ร้อยละ 80 ขึ้นไป) มีจำนวนถึง 18 คน คิดเป็นร้อยละ 78.26 ของนักเรียนทั้งหมด 23 คน ขณะที่นักเรียนที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับดี (ร้อยละ 70-79) มี 4 คน คิดเป็นร้อยละ 17.39 และที่น่าชื่นชมที่สุดคือไม่มีนักเรียนสักคนเดียวที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ผ่าน (ต่ำกว่าร้อยละ 60) หมายความว่านักเรียนทุกคนในห้องเรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ผลกระทบเชิงบวกของนวัตกรรมนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตัวเลขคะแนน RT เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพัฒนาการด้านอื่นๆ ของนักเรียนอย่างชัดเจน จากการสังเกตพฤติกรรมและการประเมินโดยครูผู้สอน พบว่านักเรียนมีความมั่นใจในการอ่านเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กล้าแสดงออกและอ่านหนังสือต่อหน้าเพื่อนๆ โดยไม่ลังเลหรือกลัวความผิดพลาด นอกจากนี้ นักเรียนยังพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมผ่านกิจกรรมกลุ่มต่างๆ เรียนรู้ที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น แบ่งปันความรู้ และช่วยเหลือเพื่อนที่อ่านหนังสือได้ช้ากว่า

สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการอ่านของนักเรียน จากการสำรวจความพึงพอใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้ พบว่านักเรียนร้อยละ 91.30 แสดงความชื่นชอบและมีความสุขกับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านสื่อ IPST และกิจกรรมเสริมต่างๆ เด็กๆ ไม่มองการอ่านเป็นภาระหรือหน้าที่ที่ต้องทำอีกต่อไป แต่กลายเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและท้าทายที่พวกเขาอยากทำด้วยความสมัครใจ นักเรียนหลายคนขอยืมหนังสือกลับไปอ่านที่บ้าน และภูมิใจที่จะเล่าเรื่องที่อ่านให้ครูและเพื่อนๆ ฟัง

ผู้ปกครองก็มีส่วนสำคัญในความสำเร็จครั้งนี้เช่นกัน จากการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ พบว่าผู้ปกครองร้อยละ 86.96 เห็นด้วยและให้ความร่วมมือในการพัฒนาทักษะการอ่านของบุตรหลานอย่างเต็มที่ พวกเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของลูกที่บ้าน เช่น การที่ลูกเริ่มหยิบหนังสือมาอ่านเอง อ่านป้ายโฆษณาตามทาง หรือพยายามอ่านคำในโทรศัพท์มือถือ ผู้ปกครองหลายท่านกล่าวว่าลูกของตนมีพัฒนาการด้านการอ่านเขียนรวดเร็วกว่าที่คาดไว้มาก และมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากขึ้น

ความสำเร็จของนวัตกรรม “ป.1 กด like อ่านได้เขียนเป็น” ได้รับการยอมรับในวงกว้าง โรงเรียนได้รับเชิญให้นำเสนอผลงานในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับกลุ่มโรงเรียน และได้รับรางวัลชมเชยนวัตกรรมดีเด่นจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 4 ในปีการศึกษา 2564 นอกจากนี้ โรงเรียนอื่นๆ ในเครือข่ายยังสนใจขอดูงานและนำแนวทางการจัดการเรียนรู้ไปปรับใช้ในบริบทของตนเอง

ที่สำคัญยิ่งกว่าตัวเลขและรางวัลคือการที่นักเรียนทุกคนมีรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น การที่เด็กๆ อ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีปัญหาในการเข้าถึงความรู้ในวิชาอื่นๆ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ และมีโอกาสประสบความสำเร็จในเส้นทางการศึกษาต่อไป สิ่งนี้คือมรดกที่ยั่งยืนที่นวัตกรรมนี้มอบให้กับเด็กๆ เหล่านี้ – ไม่ใช่แค่ความสามารถในการอ่านเขียน แต่คือความรัก ความมั่นใจ และความกระหายใคร่รู้ที่จะติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต

สรุป : นวัตกรรม “ป.1 กด like อ่านได้เขียนเป็น” ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมด้วยคะแนน RT เฉลี่ย 89.70 (สูงกว่าระดับชาติ 18.12 คะแนน) นักเรียนร้อยละ 100 อ่านออกเขียนได้ตามเกณฑ์ ร้อยละ 78.26 อยู่ในระดับดีเยี่ยม พร้อมทั้งมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน (ร้อยละ 91.30) และได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง (ร้อยละ 86.96) ซึ่งวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียน

ตัวอย่างไฟล์เอกสาร

เอกสารเป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : โรงเรียนบ้านป่าแฝกใต้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

ข่าวยอดนิยม

ความคิดเห็นล่าสุด