วันเสาร์, ตุลาคม 18, 2025
spot_img
หน้าแรกสำหรับครูแจกฟรี รายงานการวิจัย 5 บท ไฟล์เวิร์ด แก้ไขได้

แจกฟรี รายงานการวิจัย 5 บท ไฟล์เวิร์ด แก้ไขได้

สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก ครูต้นไผ่ดอทคอม ทุกท่านครับ วันนี้พบกับ ครูต้นไผ่ดอทคอม วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้ในงานวิชาการและงานธุรการชั้นเรียนเป็นไฟล์รายงานการวิจัย 5 บท ไฟล์เวิร์ด แก้ไขได้ ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถนำไปเป็นอย่างและเป็นแนวทางในการเขียนงานวิจัย เพื่อพัฒนาผู้เรียนและแก้ไขปัญหาโดยการใช้งานวิจัยเข้ามาช่วยในการพัฒนาและแก้ปัญหาผู้เรียนได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์รายงานการวิจัย 5 บท ไฟล์เวิร์ด แก้ไขได้ ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

แจกฟรี รายงานการวิจัย 5 บท ไฟล์เวิร์ด แก้ไขได้

การเขียนรายงานการวิจัย 5 บท ผ่านฉลุยทุกการประเมิน

การเดินทางบนเส้นทางสายวิชาการของนักศึกษาในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท หรือแม้กระทั่งนักวิจัยมืออาชีพ ด่านสำคัญที่ทุกคนต้องเผชิญหน้าและพิชิตให้ได้ก็คือ “การทำวิจัย” และผลผลิตสุดท้ายที่เปรียบเสมือนลายเซ็นทางปัญญาก็คือ “รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์” ซึ่งโดยสากลแล้วมักจะถูกจัดเรียงโครงสร้างออกเป็น 5 บท แม้การมองภาพรวมของงานวิจัยทั้งเล่มอาจทำให้หลายคนรู้สึกท้อแท้และมืดแปดด้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงสร้างทั้ง 5 บทนี้ถูกออกแบบมาอย่างเป็นระบบและมีเหตุมีผลในตัวเอง หากเราเข้าใจถึงหัวใจและองค์ประกอบของแต่ละบทอย่างถ่องแท้ การเขียนรายงานวิจัยให้สำเร็จลุล่วงและมีคุณภาพสูงก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันอีกต่อไป บทความนี้จะเปรียบเสมือนแผนที่นำทาง ที่จะพาคุณเจาะลึกไปในทุกแง่มุมของรายงานการวิจัยทั้ง 5 บทอย่างละเอียดที่สุด เพื่อให้คุณสามารถสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกได้อย่างมั่นใจและผ่านการประเมินได้อย่างงดงาม

เริ่มต้นกันที่ปราการด่านแรกและเป็นบทที่สำคัญที่สุดในการเปิดเรื่องราวทั้งหมด นั่นคือบทที่ 1 บทนำ บทนี้เปรียบเสมือนประตูบานแรกที่เชิญชวนให้ผู้อ่านและกรรมการก้าวเข้ามาสู่โลกงานวิจัยของเรา มันคือการปูพื้นให้เห็นว่าปัญหาที่เราสนใจนั้นมีความสำคัญอย่างไร ทำไมเราถึงต้องทำการศึกษาเรื่องนี้ และเราคาดหวังว่าจะได้อะไรจากการวิจัยครั้งนี้ องค์ประกอบสำคัญของบทที่ 1 นั้นเริ่มต้นด้วย ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ส่วนนี้ไม่ใช่แค่การกล่าวลอยๆ แต่ต้องเป็นการเรียบเรียงข้อมูลอย่างมีตรรกะ อาจเริ่มจากภาพกว้างระดับโลก ประเทศ หรือสังคม แล้วค่อยๆ ตีกรอบให้แคบลงจนมาถึงประเด็นปัญหาที่เราต้องการศึกษาโดยตรง ต้องมีการอ้างอิงข้อมูลสถิติ ทฤษฎี หรือผลการวิจัยก่อนหน้าเพื่อสร้างน้ำหนักและความน่าเชื่อถือให้แก่ปัญหาที่เราหยิบยกขึ้นมา จากนั้นจะตามมาด้วย วัตถุประสงค์ของการวิจัย ซึ่งเป็นการระบุให้ชัดเจนว่างานวิจัยชิ้นนี้ต้องการจะทำอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่มักจะเขียนเป็นข้อๆ และใช้คำกริยาที่วัดผลได้ เช่น เพื่อศึกษา เพื่อเปรียบเทียบ เพื่อวิเคราะห์ หรือเพื่อพัฒนา ต่อเนื่องกันคือ สมมติฐานของการวิจัย หากงานวิจัยของเราเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณที่ต้องการทดสอบความสัมพันธ์หรือความแตกต่าง ก็จำเป็นต้องมีการตั้งสมมติฐานซึ่งเป็นการคาดเดาคำตอบของปัญหาวิจัยอย่างมีเหตุผลไว้ล่วงหน้า ถัดมาคือส่วนของ ขอบเขตของการวิจัย ที่จะช่วยให้งานของเราไม่บานปลายและมีความชัดเจน ประกอบด้วยขอบเขตด้านประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง ว่าเราจะศึกษาใคร ที่ไหน จำนวนเท่าไหร่ ขอบเขตด้านเนื้อหา ว่าเราจะศึกษาตัวแปรอะไรบ้าง และขอบเขตด้านเวลา คือระยะเวลาที่เราใช้ในการดำเนินการวิจัยทั้งหมด ส่วนที่ขาดไม่ได้เลยคือ นิยามศัพท์เฉพาะ เป็นการให้คำจำกัดความของคำหรือตัวแปรสำคัญต่างๆ ที่ใช้ในงานวิจัยของเรา เพื่อให้ผู้วิจัยและผู้อ่านเข้าใจตรงกันทั้งหมด และปิดท้ายบทที่ 1 ด้วย ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่งเป็นการฉายภาพให้เห็นว่าผลจากการวิจัยครั้งนี้จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงวิชาการ เชิงปฏิบัติ หรือเชิงนโยบายได้อย่างไรบ้าง การเขียนบทที่ 1 ให้ดีจึงต้องอาศัยการสังเคราะห์ข้อมูลและการนำเสนอที่เฉียบคม เพื่อสร้างความประทับใจแรกและทำให้ผู้อ่านเห็นคุณค่าของงานวิจัยเราตั้งแต่ต้น

เมื่อเราเปิดประตูให้ผู้อ่านเข้ามาได้สำเร็จแล้ว บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จะทำหน้าที่เป็นเหมือนมัคคุเทศก์ผู้รอบรู้ ที่จะพาผู้อ่านไปสำรวจองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ทั้งหมดในประเด็นที่เราสนใจ บทนี้ไม่ใช่การคัดลอกและวางเรียงต่อกันไปเรื่อยๆ แต่คือการแสดงให้เห็นถึงภูมิความรู้ของผู้วิจัย ว่าได้ทำการทบทวนวรรณกรรมมาอย่างละเอียดและครอบคลุมเพียงใด หัวใจสำคัญของบทนี้คือ “การสังเคราะห์” ไม่ใช่ “การสรุป” ผู้วิจัยต้องสามารถจัดกลุ่มแนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ด้วยภาษาของตนเองให้เห็นภาพรวมขององค์ความรู้ เห็นช่องว่าง (Research Gap) ที่ยังไม่มีใครเคยทำ หรือเห็นข้อโต้แย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งช่องว่างเหล่านี้เองคือสิ่งที่จะมาสนับสนุนความสำคัญของงานวิจัยของเราให้เด่นชัดยิ่งขึ้น การเขียนบทที่ 2 จะต้องเริ่มต้นจากการสืบค้นเอกสารอย่างเป็นระบบจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น ฐานข้อมูลงานวิจัยวารสารวิชาการ หนังสือ หรือวิทยานิพนธ์ แล้วนำมาคัดกรองเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรและประเด็นของเราจริงๆ จากนั้นจึงนำมาจัดหมวดหมู่ อาจจะเรียงตามลำดับเวลาของงานวิจัย หรือจัดกลุ่มตามหัวข้อของตัวแปรก็ได้ สิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงเนื้อหาในแต่ละส่วนให้ราบรื่น มีการวิพากษ์ วิจารณ์ และชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงมาถึงกรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework) ของเรา ซึ่งมักจะนำเสนอในตอนท้ายของบทที่ 2 เป็นภาพแผนผังที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เราจะศึกษา กรอบแนวคิดนี้เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่เกิดจากการหลอมรวมทฤษฎีและงานวิจัยที่เราทบทวนมาทั้งหมด และจะเป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือและวิเคราะห์ข้อมูลในบทต่อไป ดังนั้นบทที่ 2 ที่แข็งแรงจะแสดงถึงความรอบรู้ของผู้วิจัยและเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับงานวิจัยทั้งเล่ม

หลังจากที่เรามีทั้งคำถามที่ชัดเจนและรากฐานทางทฤษฎีที่มั่นคงแล้ว บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ก็จะเข้ามาตอบคำถามว่า “เราจะหาคำตอบสำหรับคำถามวิจัยนั้นได้อย่างไร” บทนี้คือพิมพ์เขียวของการปฏิบัติงานทั้งหมด เป็นการอธิบายขั้นตอนและวิธีการที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดและโปร่งใส เพื่อให้ผู้อื่นสามารถตรวจสอบหรือทำซ้ำได้ ความน่าเชื่อถือของผลการวิจัยทั้งหมดขึ้นอยู่กับความรัดกุมของบทนี้ การเขียนบทที่ 3 จะต้องเริ่มจากการระบุรูปแบบการวิจัย (Research Design) ให้ชัดเจน ว่าเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ หรือแบบผสมผสาน จากนั้นจึงอธิบายถึง ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือการระบุว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายในการศึกษาของเรา มีจำนวนเท่าไหร่ และเราใช้วิธีการใดในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง (Sampling Method) ซึ่งต้องอธิบายเหตุผลในการเลือกใช้วิธีนั้นๆ ด้วย ต่อมาคือส่วนที่สำคัญมาก นั่นคือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย หากเป็นแบบสอบถาม ก็ต้องอธิบายว่าเราสร้างขึ้นมาอย่างไร มีกี่ส่วน แต่ละส่วนวัดอะไร มีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ เช่น การหาค่าความเที่ยงตรง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) อย่างไร หากเป็นแบบสัมภาษณ์ ก็ต้องแนบแนวคำถามที่ใช้ หากเป็นการสังเกต ก็ต้องระบุเกณฑ์ในการสังเกตให้ชัดเจน ขั้นตอนถัดไปคือ การเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวว่าเราลงสนามไปเก็บข้อมูลจริงอย่างไร มีขั้นตอนการติดต่อผู้ให้ข้อมูลอย่างไร ใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ และมีวิธีการจัดการกับข้อมูลที่ได้มาเบื้องต้นอย่างไร และส่วนสุดท้ายของบทนี้ก็คือ การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการระบุสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับงานวิจัยเชิงปริมาณ เช่น ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย หรือสถิติทดสอบสมมติฐานต่างๆ หรือระบุวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพ การเขียนบทที่ 3 ให้ดีต้องมีความเป็นขั้นเป็นตอนสูงและละเอียดราวกับเขียนคู่มือปฏิบัติงาน เพราะทุกขั้นตอนที่ระบุไว้ในบทนี้จะสะท้อนถึงความใส่ใจและความน่าเชื่อถือของกระบวนการวิจัยทั้งหมด

เมื่อกระบวนการเก็บข้อมูลเสร็จสิ้น ก็มาถึงบทที่น่าตื่นเต้นที่สุดบทหนึ่ง นั่นคือ บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล บทนี้มีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวคือ “การนำเสนอสิ่งที่ค้นพบ” อย่างตรงไปตรงมาตามผลการวิเคราะห์ที่ได้จากบทที่ 3 โดยไม่มีการใส่ความคิดเห็น การตีความ หรือการอภิปรายใดๆ ของผู้วิจัยเข้าไปปะปนโดยเด็ดขาด ความโดดเด่นของบทนี้คือความชัดเจนและความเป็นกลางในการเสนอข้อมูล การนำเสนอผลในบทนี้มักจะแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามวัตถุประสงค์การวิจัยที่ระบุไว้ในบทที่ 1 เพื่อให้ผู้อ่านสามารถติดตามผลได้อย่างเป็นระบบ สำหรับงานวิจัยเชิงปริมาณ การนำเสนอข้อมูลมักจะใช้ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิประกอบการบรรยายใต้ภาพหรือตารางนั้นๆ ซึ่งการบรรยายก็คือการอ่านค่าจากตารางหรือกราฟให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย เช่น “จากตารางที่ 4.1 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 65.5” เป็นต้น ไม่ใช่การตีความว่าทำไมผู้หญิงถึงมากกว่า ในส่วนของการทดสอบสมมติฐาน ก็จะนำเสนอผลการวิเคราะห์ทางสถิติว่าผลที่ได้นั้นยอมรับหรือปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับใด สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการวิเคราะห์ที่ได้จากการวิเคราะห์เนื้อหาจะถูกนำเสนอในรูปแบบของการบรรยายพรรณนา อาจมีการจัดกลุ่มข้อมูลตามประเด็น (Themes) ที่ค้นพบ และมักจะมีการยกคำพูดหรือข้อความที่น่าสนใจของผู้ให้ข้อมูล (Quote) มาประกอบเพื่อเพิ่มความลึกซึ้งและน่าเชื่อถือให้กับผลการวิจัย การเขียนบทที่ 4 ที่ดีต้องเน้นความแม่นยำของข้อมูล จัดระเบียบการนำเสนอให้เข้าใจง่าย และยึดมั่นในหลักการของการรายงานผลตามความเป็นจริงอย่างเคร่งครัด

เดินทางมาถึงบทสุดท้ายซึ่งเป็นบทสรุปของมหากาพย์การวิจัยทั้งหมด นั่นคือ บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ บทนี้คือส่วนที่ผู้วิจัยจะได้แสดงศักยภาพในการตีความ สังเคราะห์ และเชื่อมโยงองค์ความรู้ทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างเต็มที่ มันคือการตอบคำถามสุดท้ายว่า “แล้วผลการวิจัยที่ค้นพบทั้งหมดนี้มีความหมายว่าอย่างไร” บทนี้ประกอบด้วยสามส่วนหลักที่สำคัญยิ่ง ส่วนแรกคือ สรุปผลการวิจัย เป็นการย่อความผลการวิจัยที่สำคัญๆ ทั้งหมดที่นำเสนอในบทที่ 4 มาเขียนเรียบเรียงใหม่อีกครั้งด้วยภาษาที่กระชับและเข้าใจง่าย โดยเรียงตามวัตถุประสงค์การวิจัย คล้ายกับการเขียนบทคัดย่อแต่มีความละเอียดมากกว่าเล็กน้อย ส่วนที่สองซึ่งถือเป็นหัวใจของบทนี้คือ การอภิปรายผล เป็นส่วนที่ผู้วิจัยต้องนำผลการวิจัยที่ค้นพบไปเปรียบเทียบและเชื่อมโยงกับแนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยของผู้อื่นที่ได้ทบทวนไว้ในบทที่ 2 เพื่อชี้ให้เห็นว่าผลของเราสอดคล้องหรือแตกต่างจากองค์ความรู้เดิมอย่างไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ในส่วนนี้ผู้วิจัยสามารถใส่ความคิดเห็นเชิงวิชาการและตีความผลได้อย่างเต็มที่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความหมายและความสำคัญที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลเหล่านั้น และส่วนสุดท้ายคือ ข้อเสนอแนะ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภทย่อย ได้แก่ ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ คือการแนะนำว่าหน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องจะนำความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ไปต่อยอดในเชิงปฏิบัติได้อย่างไร และ ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป คือการชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของงานวิจัยครั้งนี้และเสนอประเด็นหรือแนวทางใหม่ๆ ให้กับนักวิจัยรุ่นต่อไปที่สนใจในหัวข้อเดียวกันนี้ได้นำไปศึกษาต่อยอด การเขียนบทที่ 5 ให้ทรงพลังจึงต้องอาศัยทักษะการคิดวิเคราะห์และการสังเคราะห์ขั้นสูง เพื่อปิดท้ายเรื่องราวการวิจัยทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์และสร้างคุณูปการแก่วงการวิชาการและสังคมต่อไป

จะเห็นได้ว่าโครงสร้างรายงานการวิจัยทั้ง 5 บทนั้นเป็นเสมือนการเล่าเรื่องราวทางปัญญาที่มีการวางโครงเรื่องไว้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน จากการตั้งคำถาม สู่การค้นคว้าข้อมูลเดิม สู่การวางแผนหาคำตอบ สู่การนำเสนอสิ่งที่ค้นพบ และปิดท้ายด้วยการขมวดปมเพื่อสรุปและให้ความหมายแก่เรื่องราวทั้งหมด การเข้าใจในเป้าหมายและองค์ประกอบของแต่ละบทอย่างลึกซึ้ง จะช่วยขจัดความกลัวและความสับสน ช่วยให้การเขียนงานวิจัยกลายเป็นการเดินทางที่น่าค้นหาและท้าทาย ขอเพียงมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และมีวินัยในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ การพิชิตรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ให้สำเร็จและมีคุณภาพตามมาตรฐานสากลก็จะเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจบนเส้นทางแห่งการเรียนรู้ของคุณอย่างแน่นอน

การศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับงานวิจัย การวิเคราะห์ในมุมมองของ 5 บทที่สำคัญ

การเขียนรายงานการวิจัยที่มี 5 บทเป็นโครงสร้างมาตรฐานในการนำเสนอผลการวิจัย โดยแต่ละบทจะมีเนื้อหาที่แตกต่างกันและมีบทบาทสำคัญในการอธิบายกระบวนการและผลลัพธ์ของการวิจัย บทความนี้จะอธิบายโครงสร้างและเนื้อหาของรายงานการวิจัยในแต่ละบทอย่างละเอียด ดังนี้:

บทนำ

บทนำในรายงานการวิจัยจะมีบทบาทสำคัญในการแนะนำหัวข้อการวิจัยและสร้างความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาหรือประเด็นที่กำลังศึกษาผ่านการนำเสนอข้อมูลพื้นฐานและความสำคัญของการวิจัย ดังนี้:

  1. การนำเสนอปัญหาการวิจัย: ชี้แจงถึงปัญหาหรือคำถามที่ต้องการศึกษาและสาเหตุที่ทำให้ปัญหานี้เป็นเรื่องที่สำคัญ
  2. วัตถุประสงค์การวิจัย: ระบุวัตถุประสงค์หลักและรองของการวิจัย เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการวิจัยนี้ต้องการหาคำตอบหรือแสวงหาความรู้ในเรื่องใด
  3. ขอบเขตการวิจัย: กำหนดขอบเขตของการวิจัย เช่น กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือ หรือสถานที่ที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
  4. คำถามการวิจัย: การระบุคำถามที่ชัดเจนซึ่งจะเป็นแนวทางในการศึกษาวิจัย

ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทนี้มุ่งเน้นในการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการวิจัยจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น งานวิจัยก่อนหน้า หนังสือ หรือบทความวิจัย เพื่อสร้างพื้นฐานทางทฤษฎีในการศึกษาครั้งนี้ บทนี้มีความสำคัญในการช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจทฤษฎีและผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัย รวมทั้งระบุช่องว่างความรู้ที่ยังไม่ได้รับการศึกษาหรือทำการวิจัยอย่างละเอียด

  1. การทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและแสดงให้เห็นว่าได้มีการศึกษาในด้านใดบ้าง
  2. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: นำเสนอทฤษฎีหลักหรือแนวคิดที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
  3. ช่องว่างในงานวิจัย: ชี้ให้เห็นว่ามีช่องว่างใดในงานวิจัยที่ผ่านมาที่การวิจัยครั้งนี้จะพยายามเติมเต็ม

วิธีการวิจัย

ในบทนี้จะอธิบายวิธีการที่ใช้ในการศึกษา โดยจะต้องระบุขั้นตอนการวิจัยอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้วิจัยสามารถทำซ้ำได้หากจำเป็น ดังนี้:

  1. ประเภทของการวิจัย: ระบุว่าเป็นการวิจัยเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ
  2. กลุ่มตัวอย่าง: อธิบายกลุ่มตัวอย่างที่เลือกใช้ในการวิจัย เช่น ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง วิธีการเลือกตัวอย่าง
  3. เครื่องมือในการวิจัย: ระบุเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ หรือการสังเกต
  4. วิธีการเก็บข้อมูล: อธิบายถึงกระบวนการเก็บข้อมูล วิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การวิเคราะห์ทางสถิติ
  5. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล: ระบุเทคนิคและเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การใช้โปรแกรม SPSS หรือโปรแกรมทางสถิติอื่น ๆ

ผลการวิจัย

ในบทนี้จะนำเสนอผลการวิจัยที่ได้รับจากการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ โดยจะต้องมีการนำเสนอผลอย่างละเอียด และอธิบายผลที่ได้อย่างเป็นระบบ ดังนี้:

  1. การนำเสนอผล: อธิบายผลการวิจัยในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น ตาราง กราฟ หรือภาพประกอบ
  2. การวิเคราะห์ผล: อธิบายความหมายของผลที่ได้จากการวิจัย รวมถึงการเปรียบเทียบผลลัพธ์กับงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  3. การอภิปรายผล: วิเคราะห์และอภิปรายผลในเชิงลึก โดยมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างผลการวิจัยกับทฤษฎีที่กล่าวถึงในบททบทวนเอกสาร

สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ

บทนี้จะสรุปผลการวิจัยอย่างกระชับ และนำเสนอข้อเสนอแนะที่เกิดจากผลการวิจัย ดังนี้:

  1. สรุปผลการวิจัย: สรุปข้อค้นพบหลักที่ได้จากการวิจัย พร้อมกับการตอบคำถามการวิจัย
  2. ข้อเสนอแนะ: นำเสนอข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในอนาคต หรือการนำผลการวิจัยไปใช้ในทางปฏิบัติ
  3. ข้อจำกัดของการวิจัย: ระบุข้อจำกัดที่พบในระหว่างการวิจัย เช่น ขนาดของกลุ่มตัวอย่างหรือปัจจัยที่อาจมีผลต่อผลลัพธ์

การจัดทำรายงานการวิจัย 5 บทนี้ เป็นกระบวนการที่ช่วยให้การวิจัยสามารถนำเสนอได้อย่างเป็นระเบียบและชัดเจน โดยแต่ละบทจะทำหน้าที่ในการสนับสนุนการสื่อสารข้อมูลและการทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการวิจัย ผลการวิจัย และแนวทางในอนาคต

ตัวอย่างไฟล์เอกสาร

เอกสารเป็นไฟล์ Word แก้ไขได้

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

ข่าวยอดนิยม

ความคิดเห็นล่าสุด