วันเสาร์, ตุลาคม 18, 2025
spot_img
หน้าแรกสำหรับครูรายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดการเรียน เรื่องบรรยากาศ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเซกา

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดการเรียน เรื่องบรรยากาศ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเซกา

สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก ครูต้นไผ่ดอทคอม ทุกท่านครับ วันนี้พบกับ ครูต้นไผ่ดอทคอม วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดการเรียน เรื่องบรรยากาศ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดไปใช้เป็นตัวอย่างและเป็นแนวทาง ในการจัดทำวิจัยในชั้นเรียน เพื่อแก้ไขและพัฒนานักเรียนในชั้นเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้เพิ่มขึ้นได้ครับ แอดมิน ขอแนะนำไฟล์ รายงานการ วิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดการเรียน เรื่องบรรยากาศ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

รายงานการ วิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดการเรียน เรื่องบรรยากาศ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1

พลิกโฉมห้องเรียนวิทย์ ม.1 เทคนิคทำวิจัยในชั้นเรียน สร้างชุดการเรียนเรื่องบรรยากาศ พิชิตผลสัมฤทธิ์ที่น่าทึ่ง

ในฐานะครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ความท้าทายหนึ่งที่พบเจออยู่เสมอคือการทำให้นักเรียนเข้าใจและสนุกไปกับเนื้อหาที่มีความเป็นนามธรรมสูง จับต้องได้ยาก ซึ่งหนึ่งในบทเรียนสุดคลาสสิกที่มักจะเป็นยาขมสำหรับนักเรียนก็คือ “บรรยากาศ” ด้วยเนื้อหาที่ซับซ้อน ตั้งแต่ส่วนประกอบของอากาศแต่ละชนิด ชั้นบรรยากาศต่างๆ ที่มองไม่เห็น ไปจนถึงปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องอย่างความกดอากาศ ลม หรือภาวะเรือนกระจก การสอนแบบบรรยายตามตำราเพียงอย่างเดียวมักทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย ขาดการมีส่วนร่วม และส่งผลโดยตรงต่อคะแนนสอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในที่สุด จากการสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียนและการตรวจสอบคะแนนสอบก่อนเรียน พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในแนวคิดพื้นฐานหลายอย่าง พวกเขามองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวและน่าเบื่อ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงบรรยากาศการเรียนรู้ในห้องเรียนให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การวิจัยในชั้นเรียน” ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือซับซ้อนสำหรับคุณครูเลย แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียนได้อย่างตรงจุด

เป้าหมายหลักของการทำวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้จึงชัดเจนอย่างยิ่ง นั่นคือ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในหน่วยการเรียนรู้เรื่องบรรยากาศ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งนวัตกรรมที่เลือกนำมาใช้เป็นพระเอกในการแก้ปัญหานี้ก็คือ “ชุดการเรียน” ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นมาด้วยตนเอง โดยมุ่งหวังให้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นระบบ เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ และสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นการรอรับความรู้จากครูเพียงฝ่ายเดียว การวิจัยครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการทำตามหน้าที่ แต่เปรียบเสมือนการเดินทางที่น่าตื่นเต้นเพื่อค้นหาวิธีการสอนที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียนของเรา เป็นการพิสูจน์ว่าครูทุกคนสามารถเป็นนักวิจัยและนักพัฒนาในห้องเรียนของตนเองได้

ขั้นตอนแรกของการเดินทางครั้งนี้คือการวิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้ง จากการเก็บข้อมูลคะแนนทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 35 คน พบว่าคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนอยู่ที่เพียง 11.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนนเท่านั้น และมีนักเรียนไม่ถึงร้อยละ 30 ที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ จากการสังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียนและการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ นักเรียนหลายคนสะท้อนว่าเนื้อหาเรื่องบรรยากาศนั้นยากและน่าสับสน พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนในหนังสือกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้จริง คำถามเช่น “ชั้นบรรยากาศมีจริงหรือ” “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอากาศมีน้ำหนัก” เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงช่องว่างทางความเข้าใจที่ต้องได้รับการเติมเต็มอย่างเร่งด่วน การสอนแบบเดิมที่เน้นการบรรยายและจดตามบนกระดานจึงไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนในยุคนี้ได้อีกต่อไป พวกเขาต้องการประสบการณ์การเรียนรู้ที่จับต้องได้และกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อเข้าใจถึงแก่นของปัญหาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบและสร้างนวัตกรรมเพื่อการแก้ไข นั่นคือ “ชุดการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ชีทหรือใบงานธรรมดา แต่ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นองค์รวม โดยมีองค์ประกอบหลัก 4 ส่วนที่ทำงานสอดประสานกัน ส่วนแรกคือ คู่มือและใบความรู้ ที่ย่อยเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่เป็นมิตรกับนักเรียน มีภาพประกอบสี่สีสวยงาม แผนภาพ และอินโฟกราฟิกที่ชัดเจน เพื่อให้นักเรียนสามารถทบทวนและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ส่วนที่สองคือ ใบกิจกรรมและใบงาน ที่เน้นการคิดวิเคราะห์และนำความรู้ไปใช้ ไม่ใช่แค่การท่องจำ โดยมีกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การตอบคำถาม การเติมแผนภาพ ไปจนถึงการแก้ปัญหาสถานการณ์จำลอง ส่วนที่สาม ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญคือ ชุดกิจกรรมการทดลองปฏิบัติการ ที่ให้นักเรียนได้ลงมือทำจริงเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีต่างๆ เช่น กิจกรรมการทดลองเรื่องความดันอากาศโดยใช้แก้วน้ำและกระดาษแข็ง, กิจกรรมการสร้างแบบจำลองภาวะเรือนกระจกอย่างง่ายโดยใช้โหลแก้วและเทอร์โมมิเตอร์, และกิจกรรมการพิสูจน์ว่าอากาศมีมวลโดยใช้ลูกโป่งและไม้แขวนเสื้อ เป็นต้น และส่วนสุดท้ายคือ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ที่สร้างขึ้นให้มีเนื้อหาครอบคลุมและมีความยากง่ายเทียบเคียงกัน เพื่อใช้เปรียบเทียบพัฒนาการของนักเรียนได้อย่างน่าเชื่อถือ

กระบวนการนำชุดการเรียนไปใช้ในห้องเรียนได้ถูกวางแผนไว้อย่างเป็นระบบตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์ ในสัปดาห์แรก เริ่มต้นด้วยการให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อเก็บข้อมูลพื้นฐาน จากนั้นจึงเริ่มแนะนำหน่วยการเรียนรู้และนำเข้าสู่บทเรียนด้วยชุดการเรียนส่วนที่ 1 และ 2 เพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนประกอบและชั้นบรรยากาศต่างๆ บรรยากาศในห้องเรียนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นักเรียนให้ความสนใจกับภาพประกอบและแผนภาพในชุดการเรียนมากกว่าการจ้องมองกระดานดำเพียงอย่างเดียว ในสัปดาห์ที่สองและสาม เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง นักเรียนถูกแบ่งกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมการทดลองต่างๆ ที่เตรียมไว้ พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะวางแผน ทำงานร่วมกัน สังเกตผล บันทึกข้อมูล และสรุปผลการทดลองด้วยตนเอง เสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกิดขึ้นทั่วห้องเรียน บทบาทของครูเปลี่ยนจากการเป็นผู้บรรยายมาเป็น “ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้” (Facilitator) คอยกระตุ้นด้วยคำถาม ชี้แนะเมื่อนักเรียนพบปัญหา และเสริมแรงเมื่อพวกเขาค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง ภาพของนักเรียนที่ตื่นเต้นเมื่อเห็นว่ากระดาษแผ่นเดียวสามารถกั้นน้ำในแก้วคว่ำไม่ให้หกได้ คือสิ่งที่ยืนยันว่าการเรียนรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ตรงนั้นทรงพลังเพียงใด

ตลอดกระบวนการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนได้เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการสังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม การตรวจใบงานและผลการทดลอง และการจดบันทึกอนุทินหลังการสอน เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการในแต่ละคาบให้ดียิ่งขึ้น เมื่อสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ในสัปดาห์ที่สี่ นักเรียนทุกคนได้ทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ซึ่งเป็นฉบับเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน และทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดการเรียน เพื่อเก็บข้อมูลในมิติของความรู้สึกและทัศนคติของนักเรียน ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพที่สำคัญไม่แพ้คะแนนสอบ

ผลลัพธ์ที่ได้จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลนั้นน่าพึงพอใจอย่างยิ่ง ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนของนักเรียนพุ่งสูงขึ้นเป็น 26.2 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนที่ 11.5 คะแนน ถือว่ามีพัฒนาการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นักเรียนจำนวน 33 คนจาก 35 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 94.28 สามารถสอบผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ ซึ่งแตกต่างจากก่อนเรียนอย่างสิ้นเชิง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สถิติที่สวยงาม แต่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่านวัตกรรม “ชุดการเรียน” ที่สร้างขึ้นนั้น สามารถช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความเข้าใจในเนื้อหาเรื่องบรรยากาศได้อย่างแท้จริง พวกเขาสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ สามารถเชื่อมโยงความรู้ในห้องเรียนเข้ากับชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

ในส่วนของผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียน ก็ให้ผลในทิศทางบวกเช่นเดียวกัน จากการวิเคราะห์แบบสอบถาม พบว่านักเรียนกว่าร้อยละ 95 มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอนในภาพรวมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่านักเรียนพึงพอใจในกิจกรรมการทดลองปฏิบัติการมากที่สุด พวกเขาสะท้อนว่ามันทำให้บทเรียนที่น่าเบื่อกลายเป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้น รองลงมาคือความสวยงามและความเข้าใจง่ายของใบความรู้และใบงานในชุดการเรียน นักเรียนคนหนึ่งเขียนในข้อเสนอแนะว่า “ชอบที่ได้ทำการทดลองด้วยตัวเอง มันทำให้ผมเข้าใจเรื่องความดันอากาศมากกว่าการอ่านในหนังสือร้อยเท่า” อีกคนหนึ่งบอกว่า “ภาพในชีทสวยมาก อ่านแล้วเข้าใจง่าย อยากให้ครูทำแบบนี้ในเรื่องอื่นๆ ด้วย” คำพูดเหล่านี้คือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนเป็นครู และเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้เดินทางมาถูกทางแล้ว

การวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้ได้ให้บทเรียนที่ล้ำค่าหลายประการ ประการแรก มันพิสูจน์ให้เห็นว่าการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนจากแบบตั้งรับ (Passive Learning) มาเป็นแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางและได้ลงมือปฏิบัติจริงนั้น ส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมหาศาล ประการที่สอง นวัตกรรมอย่าง “ชุดการเรียน” ที่ครูสร้างสรรค์ขึ้นเองโดยอิงจากปัญหาและบริบทของนักเรียนตนเอง ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าสื่อสำเร็จรูปทั่วไป เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ที่เฉพาะเจาะจง และประการสุดท้าย กระบวนการวิจัยในชั้นเรียนได้เปลี่ยนมุมมองของครูผู้สอนไปตลอดกาล มันทำให้เราตระหนักว่าเราไม่ได้เป็นเพียง “ผู้สอน” แต่เรายังเป็น “ผู้เรียนรู้” และ “นักพัฒนา” ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นในห้องเรียนของเราได้เสมอ

ดังนั้น จึงอยากจะส่งต่อแรงบันดาลใจนี้ไปยังเพื่อนครูทุกท่านว่า อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นทำวิจัยในชั้นเรียน มันไม่ใช่เรื่องยากหรือเกินตัว แต่เป็นหัวใจของการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างแท้จริง เริ่มจากการสังเกตปัญหาเล็กๆ ในห้องเรียนของคุณ ตั้งคำถาม และลองสร้างสรรค์นวัตกรรมง่ายๆ เพื่อแก้ไขปัญหานั้น ไม่ว่าจะเป็นเกม เพลง ชุดการเรียน หรือกิจกรรมใหม่ๆ แล้วลงมือทำอย่างเป็นระบบ เก็บข้อมูล และดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การเดินทางครั้งนี้อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ผลลัพธ์ที่ปลายทาง นั่นคือรอยยิ้ม แววตาที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจ และพัฒนาการของนักเรียน จะเป็นรางวัลที่คุ้มค่าที่สุด และจะเติมเต็มจิตวิญญาณความเป็นครูของเราได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด การลงทุนลงแรงเพื่อพัฒนารูปแบบการสอนของเราในวันนี้ คือการลงทุนเพื่อสร้างอนาคตของชาติในวันข้างหน้าอย่างยั่งยืน

การศึกษาและพัฒนาชุดการเรียนรู้เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องบรรยากาศสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

บทนำและความสำคัญของการวิจัย

บทนำ
การวิจัยในชั้นเรียนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน เพื่อให้ครูสามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการสอนในชั้นเรียนได้อย่างตรงจุด สำหรับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในเรื่อง “บรรยากาศ” การจัดการเรียนรู้ผ่านชุดการเรียนรู้เฉพาะนี้สามารถสร้างการเรียนรู้ที่สนุกสนานและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมและมีความเข้าใจในบทเรียนได้อย่างลึกซึ้ง

ความสำคัญของการวิจัย
การสอนเรื่องบรรยากาศมีความสำคัญมากในการพัฒนาแนวคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียน เนื่องจากเป็นหัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ทั้งยังเป็นพื้นฐานที่ดีในการต่อยอดไปสู่ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและภูมิศาสตร์ในระดับชั้นสูงต่อไป อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมอาจทำให้นักเรียนขาดแรงจูงใจ การใช้ชุดการเรียนการสอนที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของนักเรียนจึงเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

กระบวนการวิจัยและวิธีการใช้ชุดการเรียนรู้

วิธีการวิจัย
ในการวิจัยครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เข้าร่วมการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียนเรื่อง “บรรยากาศ” โดยจะทำการวิเคราะห์ทั้งก่อนและหลังการใช้ชุดการเรียนเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อวิเคราะห์ความคิดเห็นและความรู้สึกของนักเรียนในการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียนดังกล่าว

ชุดการเรียนเรื่องบรรยากาศ
ชุดการเรียนเรื่อง “บรรยากาศ” ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการเรียนรู้แบบเชิงปฏิบัติ มีการใช้ภาพประกอบ วิดีโอ และกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น การจำลองการเกิดของบรรยากาศ การวิเคราะห์องค์ประกอบของบรรยากาศ และการเรียนรู้ผลกระทบของมลพิษที่มีต่อบรรยากาศ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจและมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้

การเก็บรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน แบบสอบถามความคิดเห็น และการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อหาค่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และหาค่าเฉลี่ยของการพัฒนาทางด้านทักษะการคิดและการแก้ปัญหาของนักเรียน

ผลการวิจัยและสรุปการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ผลการวิจัย
จากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการใช้ชุดการเรียนเรื่อง “บรรยากาศ” พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชุดการเรียนดังกล่าวช่วยพัฒนาความรู้และความเข้าใจในเรื่องบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ นักเรียนยังแสดงความสนใจและมีการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ของพวกเขา

สรุปและข้อเสนอแนะ
ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้ชุดการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสามารถช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เช่น เรื่องบรรยากาศ การวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาใช้ในการออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนการสอนในหัวข้ออื่นๆ เพื่อช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้และเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้

ตัวอย่างไฟล์เอกสาร

เอกสารเป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : สื่อฟรีออนไลน์ดอทคอม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

ข่าวยอดนิยม

ความคิดเห็นล่าสุด