วันเสาร์, ตุลาคม 18, 2025
spot_img
หน้าแรกข่าวการศึกษาดาวน์โหลด รายงานการศึกษา กระบวนการและผลการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา ฐานสมรรถนะ โดย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

ดาวน์โหลด รายงานการศึกษา กระบวนการและผลการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา ฐานสมรรถนะ โดย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ


สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก ครูต้นไผ่ดอทคอม ทุกท่านครับ วันนี้พบกับ ครูต้นไผ่ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ รายงานการศึกษา กระบวนการและผลการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา ฐานสมรรถนะ ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทางในการจัดทำ หลักสูตรสถานศึกษา ฐานสมรรถนะ ตามบริบทของสถานศึกษา ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ รายงานการศึกษา กระบวนการและผลการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา ฐานสมรรถนะ ตามรายละเอียดดังนี้ ครับ

ดาวน์โหลด รายงานการศึกษา กระบวนการและผลการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา ฐานสมรรถนะ โดย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ


การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ เส้นทางสู่การปฏิรูปการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21

การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 กระบวนการนี้ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงเนื้อหาวิชาการเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบระบบการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้เป็นบุคคลที่สามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และปรับตัวได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การศึกษาและพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะมีรากฐานมาจากทฤษฎีการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการตระหนักว่าการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นการท่องจำและการทดสอบไม่เพียงพอต่อการเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนในการเผชิญความท้าทายของอนาคต ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะจึงเป็นการตอบสนองต่อความต้องการในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การศึกษา

กระบวนการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเริ่มต้นจากการวิเคราะห์และกำหนดสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน โดยสมรรถนะเหล่านี้จะต้องสะท้อนถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบุคคลในศตวรรษที่ 21 ซึ่งรวมถึงความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม และการเรียนรู้ตลอดชีวิต การกำหนดสมรรถนะเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากหลายฝ่าย ทั้งนักการศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน และภาคการทำงาน

การออกแบบหลักสูตรฐานสมรรถนะต้องเริ่มจากการวิเคราะห์บริบทของสถานศึกษาและชุมชน เนื่องจากความต้องการและทรัพยากรของแต่ละพื้นที่อาจแตกต่างกัน การวิเคราะห์นี้ควรครอบคลุมทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สังคม และวัฒนธรรมของชุมชน รวมถึงความต้องการของตลาดแรงงานในพื้นที่ การวิเคราะห์บริบทจะช่วยให้สถานศึกษาสามารถออกแบบหลักสูตรที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนและชุมชน

ขั้นตอนการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร มาตรฐานเหล่านี้จะต้องสะท้อนถึงสมรรถนะที่ต้องการพัฒนาในผู้เรียน โดยแต่ละมาตรฐานจะต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน สามารถวัดและประเมินผลได้ การกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้จำเป็นต้องคำนึงถึงความเหมาะสมตามวัยของผู้เรียน และควรจัดลำดับความยากง่ายจากระดับพื้นฐานไปสู่ระดับสูงขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน

การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ถือเป็นหัวใจของหลักสูตรฐานสมรรถนะ กิจกรรมเหล่านี้จะต้องเป็นกิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติ การสำรวจ การค้นหา และการแก้ปัญหา โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสในการใช้ความรู้และทักษะในสถานการณ์ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ควรหลากหลายและตอบสนองต่อความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน รวมถึงการบูรณาการความรู้จากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้เรียนเห็นความเชื่อมโยงและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างแท้จริง

การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นหนึ่งในวิธีการที่สำคัญในหลักสูตรฐานสมรรถนะ โครงงานจะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการวิจัย การทำงานเป็นทีม การนำเสนอผลงาน และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ การเรียนรู้ผ่านโครงงานยังช่วยเชื่อมโยงการเรียนรู้กับชุมชนและสังคมรอบข้าง ทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการศึกษาและความสำคัญของการใช้ความรู้ในการพัฒนาสังคม

การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้เป็นองค์ประกอบสำคัญของหลักสูตรฐานสมรรถนะ เทคโนโลยีไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการเรียนรู้ แต่เป็นสื่อที่ช่วยขยายโอกาสการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลและความรู้จากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรม และสามารถสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบดิจิทัลที่หลากหลาย การบูรณาการเทคโนโลยีจำเป็นต้องทำอย่างเหมาะสมและมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่การใช้เทคโนโลยีเพื่อเทคโนโลยี

การประเมินผลการเรียนรู้ในหลักสูตรฐานสมรรถนะต้องเป็นการประเมินแบบองค์รวม ไม่ใช่เพียงการทดสอบความจำเท่านั้น การประเมินควรครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะของผู้เรียน โดยใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย เช่น การประเมินจากผลงาน การสังเกตพฤติกรรม การประเมินตนเอง และการประเมินเพื่อน การประเมินควรเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ช่วยให้ผู้เรียนทราบความก้าวหน้าของตนเองและสามารถปรับปรุงการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม

การพัฒนาครูให้มีความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการปฏิรูป ครูจำเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ซึ่งต้องใช้ทักษะและความรู้ใหม่ การพัฒนาครูควรเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่รวมถึงการอบรม การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การศึกษาดูงาน และการวิจัยในชั้นเรียน นอกจากนี้ ครูยังจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้

การบริหารจัดการสถานศึกษาต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ โครงสร้างการบริหารควรยืดหยุ่นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการพัฒนาหลักสูตร การจัดสรรงบประมาณควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยี และพื้นที่การเรียนรู้ที่หลากหลาย การสื่อสารกับผู้ปกครองและชุมชนเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการพัฒนาผู้เรียน

การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานหลักสูตรเป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอ การติดตามผลควรมีทั้งการติดตามระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้ตัวชี้วัดที่หลากหลาย เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ความพึงพอใจของผู้ปกครอง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน และความสามารถในการปรับตัวของสถานศึกษา ข้อมูลจากการติดตามผลจะถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ความท้าทายในการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะมีหลายประการ ความท้าทายแรกคือการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของครู ผู้ปกครอง และนักเรียนที่คุ้นเคยกับระบบการศึกษาแบบเดิม ความท้าทายที่สองคือการขาดแคลนทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ ความท้าทายที่สามคือการปรับเปลี่ยนระบบการประเมินและการวัดผลที่ยังคงเน้นการทดสอบแบบดั้งเดิม และความท้าทายสุดท้ายคือการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม

แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่ผลการศึกษาจากสถานศึกษาที่นำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้แล้วแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เป็นบวก นักเรียนมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น มีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ดีขึ้น สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้น และมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ปกครองและชุมชนยังเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของเด็กและเยาวชน

ตัวอย่างความสำเร็จจากสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะสามารถปรับใช้ได้ในบริบทที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในเขตเมือง ชนบท หรือโรงเรียนขนาดเล็ก ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การวางแผนที่ดี การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนที่ได้จากการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน การสร้างความเข้าใจและการยอมรับจากทุกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การมีเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างสถานศึกษาจะช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัดและชุมชนจะเป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญ

การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เป็นกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ เครือข่ายนี้ไม่ใช่เพียงการรวมกลุ่มของสถานศึกษาเท่านั้น แต่รวมถึงการเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา องค์กรภาคเอกชน และชุมชน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การร่วมมือในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ และการสนับสนุนซึ่งกันและกันจะช่วยให้การพัฒนาหลักสูตรเป็นไปอย่างยั่งยืน

การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ การวิจัยจะช่วยให้เข้าใจปัญหา ความต้องการ และแนวทางการแก้ไขได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การวิจัยยังช่วยในการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย ครูและบุคลากรทางการศึกษาควรได้รับการสนับสนุนให้ทำวิจัยในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของตนเอง

การใช้ข้อมูลสารสนเทศในการตัดสินใจเป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาหลักสูตร ระบบสารสนเทศที่ดีจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถติดตามความก้าวหน้าของนักเรียนแต่ละคน วิเคราะห์ปัญหา และวางแผนการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ข้อมูลเหล่านี้ยังสามารถใช้ในการรายงานผลต่อผู้ปกครองและชุมชน สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับสถานศึกษา

การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในสถานศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้หลักสูตรฐานสมรรถนะประสบความสำเร็จ วัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ดีจะเป็นสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ การทดลอง และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทุกคนในสถานศึกษาควรเป็นทั้งผู้เรียนรู้และผู้ถ่ายทอดความรู้ การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้จะช่วยให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัยในการทดลอง การสำรวจ และการแสดงออกถึงความคิดเห็น

การพัฒนาสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลักสูตรฐานสมรรถนะ แหล่งเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่ขยายไปสู่ชุมชน สถานประกอบการ พิพิธภัณฑ์ และแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ การใช้แหล่งเรียนรู้เหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับสถานการณ์จริงและเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างความรู้กับชีวิตจริง

ความร่วมมือระหว่างบ้าน โรงเรียน และชุมชนเป็นรากฐานที่สำคัญของหลักสูตรฐานสมรรถนะ ผู้ปกครองและชุมชนไม่ใช่เพียงผู้รับบริการ แต่เป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาการศึกษา การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการวางแผนหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลจะช่วยให้การศึกษาตอบสนองความต้องการของผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น

การเตรียมความพร้อมสู่อนาคตเป็นเป้าหมายสำคัญของหลักสูตรฐานสมรรถนะ โลกในอนาคตจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลง ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างต่อเนื่อง และทักษะในการจัดการกับความท้าทาย หลักสูตรฐานสมรรถนะจึงต้องเน้นการพัฒนาทักษะเหล่านี้ควบคู่ไปกับความรู้พื้นฐาน

การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องจักรเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในการศึกษา หลักสูตรฐานสมรรถนะต้องเตรียมผู้เรียนให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลジีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาคุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความเห็นอกเห็นใจ และการตัดสินใจเชิงจริยธรรม

การประเมินผลกระทบของหลักสูตรฐานสมรรถนะต่อสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำในระยะยาว การศึกษาติดตามผลของผู้เรียนหลังจากสำเร็จการศึกษาจะช่วยให้ทราบว่าหลักสูตรสามารถเตรียมคนให้พร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมได้ดีเพียงใด ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรในอนาคต

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยสำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ ได้ดำเนินการ จัดทำโครงการวิจัยศึกษากระบวนการและผลการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อศึกษากระบวนการ ผลการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ปัจจัย และปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ และข้อเสนอเชิงนโยบายต่าง ๆ ซึ่งดำเนินการศึกษาในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยได้ดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานศึกษา
ระดับประถมศึกษาที่มีการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ จำนวน 40 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคได้แก่ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก ในบริบทที่หลากหลาย
โดยมีการสร้างเครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูลที่มีความเชื่อมั่น ความเที่ยงในการเก็บข้อมูล เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลของสถานศึกษา กระบวนการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ปัญหา อุปสรรค และปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้อง เช่น การพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาครู การวัดและประเมินผลของสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ และมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่หลากหลาย ได้แก่ การเก็บข้อมูลผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการขอความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการตรวจสอบข้อมูลและสนับสนุนการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
บัดนี้การดำเนินการทั้งสิ้นแล้วเสร็จลงแล้ว จึงได้จัดทำรายงานการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงานการศึกษากระบวนการและผลการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ในสถานศึกษากลุ่มตัวอย่างระดับประถมศึกษา เพื่อเผยแพร่ผลการวิจัยและองค์ความรู้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำสู่การปฏิบัติต่อไป

การวิจัยศึกษากระบวนการและผลการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ในสถานศึกษากลุ่มตัวอย่างระดับประถมศึกษา ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะของสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรม 2) เพื่อศึกษาปัจจัย ระบบสนับสนุน และปัญหาอุปสรรคในการทำงานพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะของสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรม และ 3) เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในด้านต่าง ๆ โดยมีสถานศึกษาที่เข้าร่วมในการวิจัยครั้งนี้มี2 ลักษณะ
คือ 1) สถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัด เชียงใหม่ ระยอง ศรีสะเกษ กาญจนบุรีสตูล ปัตตานีและนราธิวาส จำนวน 35 แห่ง โดยจำแนกเป็นสถานศึกษาที่หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบ จำนวน 14 แห่ง และเป็นสถานศึกษาที่หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นชอบ จำนวน 21 แห่ง และ 2) สถานศึกษาในพื้นที่ทั่วไปนอกพื้นที่นวัตกรรมในจังหวัดฉะเชิงเทรา สงขลา บุรีรัมย์และกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 แห่ง เครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้
มี3 ลักษณะ คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และแบบสนทนากลุ่ม การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือระยะเตรียมความพร้อมดำเนินการในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 – มกราคม 2566 ระยะการเก็บข้อมูลดำเนินการในช่วงเดือนกุมภาพันธ์- มิถุนายน 2566 และระยะการวิเคราะห์และสรุปข้อมูล จัดทำรายงานการวิจัย ดำเนินการในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 การวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ใช้สถิติบรรยายได้แก่ ร้อยละ ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม โดยใช้การ
วิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)

ตัวอย่างไฟล์เอกสาร


เอกสารเป็นไฟล์ PDF

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสารจากลิงก์ด้านล่างนี้ นะครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา : สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

ข่าวยอดนิยม

ความคิดเห็นล่าสุด