สวัสดีเพื่อนๆ สมาชิก ครูต้นไผ่ดอทคอม ทุกท่านครับ วันนี้พบกับ ครูต้นไผ่ดอทคอม เช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีไฟล์มาแนะนำให้เพื่อนๆ สมาชิกได้ดาวน์โหลดไปใช้งาน เป็นไฟล์ แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบไฮสโคป (High/Scope Approach) ซึ่งเพื่อนๆ สมาชิกสามารถดาวน์โหลดนำไปศึกษาและนำไปเป็นแนวทาง ในการเรียนรู้ตามแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบไฮสโคป (High/Scope Approach) นำไปใช้กับนักเรียน ตามบริบทของห้องเรียน ได้ครับ แอดมินขอแนะนำไฟล์ แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบไฮสโคป (High/Scope Approach) ตามรายละเอียดดังนี้ ครับ
ดาวน์โหลด แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบไฮสโคป (High/Scope Approach) โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21
แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการศึกษาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัย แนวทางนี้เกิดขึ้นจากการวิจัยระยะยาวที่ดำเนินการโดยมูลนิธิ High/Scope ในรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอมेริกา ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 และได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถส่งผลบวกต่อการพัฒนาเด็กทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
หัวใจสำคัญของแนวทาง High/Scope คือการเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กทุกคน โดยมองว่าเด็กเป็นผู้เรียนรู้ที่กระตือรือร้นและมีความสามารถในการสร้างความรู้ด้วยตนเอง แนวทางนี้เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติและการมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กที่ชอบสำรวจ ทดลอง และค้นพบสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปมีรากฐานมาจากทฤษฎีการพัฒนาของนักจิตวิทยาชื่อดัง เช่น ฌอง เปียเจต์ และเลฟ วีกอตสกี้ ที่เน้นความสำคัญของการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง การสร้างความรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และการได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ในการพัฒนาตนเอง แนวคิดเหล่านี้ได้ถูกนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยและความต้องการของเด็กไทยในปัจจุบัน
องค์ประกอบหลักของแนวทางไฮสโคปประกอบด้วยหลายส่วนที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ส่วนแรกคือการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน สภาพแวดล้อมในห้องเรียนไฮสโคปจะถูกแบ่งออกเป็นมุมกิจกรรมต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มุมหนังสือ มุมบล็อก มุมศิลปะ มุมเล่นบทบาท มุมวิทยาศาสตร์ และมุมดนตรี การแบ่งมุมกิจกรรมนี้ช่วยให้เด็กสามารถเลือกกิจกรรมที่ตนเองสนใจและมีโอกาสพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ได้อย่างสมดุล
การจัดเครื่องมือและวัสดุในแต่ละมุมกิจกรรมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน วัสดุที่ใช้ควรเป็นวัสดุที่หลากหลาย มีความปลอดภัย และเหมาะสมกับวัยของเด็ก โดยเฉพาะในสังคมไทย การใช้วัสดุท้องถิ่นและวัสดุธรรมชาติจะช่วยให้เด็กได้รู้จักและเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น การใช้ไม้ไผ่ ใบตอง เปลือกมะพร้าว หรือเมล็ดธัญพืชต่างๆ ในกิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้
กระบวนการ Plan-Do-Review หรือ วางแผน-ปฏิบัติ-ทบทวน เป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของแนวทางไฮสโคป กระบวนการนี้เริ่มต้นจากการที่เด็กวางแผนเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองต้องการทำในวันนั้น โดยครูจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการให้เด็กแสดงออกถึงความคิดและความต้องการของตนเอง ขั้นตอนการวางแผนนี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจ และความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง
ขั้นตอนการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้เป็นช่วงเวลาที่เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมที่ตนเองเลือก ในระหว่างนี้ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและกระตุ้นการเรียนรู้ ไม่ใช่การสั่งสอนหรือควบคุมอย่างเข้มงวด ครูจะเดินไปมาสังเกตการณ์ทำกิจกรรมของเด็กแต่ละคน ให้คำแนะนำเมื่อจำเป็น ตั้งคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดลึกขึ้น และสร้างโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
ขั้นตอนการทบทวนจะเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ในช่วงนี้เด็กจะได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองได้ทำ ปัญหาที่เกิดขึ้นและวิธีการแก้ไข รวมทั้งความรู้สึกและความคิดเห็นต่อกิจกรรมที่ได้ทำ การทบทวนนี้ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสาร การคิดไตร่ตรอง และการเชื่อมโยงประสบการณ์เข้ากับการเรียนรู้ในอนาคต
การประยุกต์ใช้แนวทางไฮสโคปในบริบทของเด็กไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษา เด็กไทยหลายคนเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีทั้งภาษาไทยกลางและภาษาถิ่น การจัดการศึกษาแบบไฮสโคปจึงควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ภาษาแม่ของตนเองในการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะภาษาไทยมาตรฐาน วิธีการนี้จะช่วยให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเองและสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของการจัดการศึกษาแบบไฮสโคป ในสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและชุมชน การเชิญชวนให้ผู้ปกครองและสมาชิกชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของการศึกษา ผู้ปกครองสามารถแบ่งปันภูมิปัญญาท้องถิ่น ทักษะอาชีพ หรือประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายให้กับเด็กๆ ได้
ระบบการประเมินในแนวทางไฮสโคปมีลักษณะเป็นการประเมินตามสภาพจริงและต่อเนื่อง ครูจะใช้วิธีการสังเกต บันทึกพฤติกรรม ถ่ายภาพ หรือวีดิโอผลงานของเด็กเป็นหลักฐานการเรียนรู้ แทนการใช้แบบทดสอบหรือการประเมินแบบเดิมๆ ที่อาจไม่สะท้อนความสามารถที่แท้จริงของเด็ก วิธีการประเมินนี้ช่วยให้ครูและผู้ปกครองเข้าใจการพัฒนาของเด็กในมิติต่างๆ อย่างครอบคลุมและลึกซึ้ง
การพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์เป็นส่วนสำคัญของแนวทางไฮสโคปที่สอดคล้องกับค่านิยมของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับความกตัญญู ความเมตตากรุณา และการอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี เด็กจะได้เรียนรู้การแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างสันติ การแบ่งปันและช่วยเหลือกัน การยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล และการแสดงความรู้สึกอย่างเหมาะสม ทักษะเหล่านี้จะเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมในอนาคต
การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับแนวทางไฮสโคปในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่จำเป็นและท้าทายในเวลาเดียวกัน เทคโนโลยีควรถูกใช้เป็นเครื่องมือเสริมการเรียนรู้ ไม่ใช่เป็นจุดศูนย์กลางของกิจกรรม การใช้แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น การค้นหาข้อมูล การบันทึกผลการทดลอง การสร้างผลงานศิลปะดิจิทัล หรือการสื่อสารกับเพื่อนในโครงการร่วม การใช้เทคโนโลยีอย่างสมดุลจะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะดิจิทัลที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยไม่สูญเสียโอกาสในการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงและการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
บทบาทของครูในแนวทางไฮสโคปแตกต่างจากการสอนแบบดั้งเดิมอย่างมาก ครูไม่ได้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผู้อำนวยความสะดวก ผู้สนับสนุน และผู้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก ครูต้องมีทักษะในการสังเกต การตั้งคำถามที่กระตุ้นการคิด การให้กำลังใจ และการช่วยให้เด็กสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง ความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของครูไฮสโคป เพราะต้องตอบสนองต่อความสนใจและความต้องการที่หลากหลายของเด็กแต่ละคน
การพัฒนาครูเพื่อการจัดการศึกษาแบบไฮสโคปจำเป็นต้องเป็นกระบวนการต่อเนื่องและเป็นระบบ ครูต้องได้รับการอบรมเกี่ยวกับปรัชญาและวิธีการของแนวทางไฮสโคป มีโอกาสฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง และได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมวิชาชีพและผู้บริหาร การสร้างชุมชนการเรียนรู้ของครูที่สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ปรึกษาหารือปัญหา และพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนร่วมกันจะช่วยให้การนำแนวทางไฮสโคปไปใช้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์จากการวิจัยระยะยาวของโครงการ High/Scope Perry Preschool แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ยั่งยืนของแนวทางการศึกษานี้ เด็กที่ได้รับการศึกษาแบบไฮสโคปมีอัตราการจบการศึกษาระดับมัธยมที่สูงกว่า มีรายได้เฉลี่ยที่สูงกว่าในวัยผู้ใหญ่ มีอัตราการก่ออาชญากรรมที่ต่ำกว่า และมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในหลายด้าน ผลการวิจัยเหล่านี้เป็นหลักฐานที่แข็งแกร่งที่สนับสนุนการลงทุนในการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ
การประยุกต์ใช้แนวทางไฮสโคปในประเทศไทยต้องคำนึงถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐ การจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ การฝึกอบรมครู และการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อความสำเร็จของการนำแนวทางนี้มาใช้ การสร้างความตระหนักและความเข้าใจในหมู่ผู้บริหารการศึกษา นักการเมือง และประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับคุณค่าและประโยชน์ของแนวทางไฮสโคปก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน
ความท้าทายในการนำแนวทางไฮสโคปมาใช้ในประเทศไทยรวมถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้ปกครองที่อาจคาดหวังให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะการอ่าน การเขียน และการคิดเลขอย่างเป็นทางการตั้งแต่เนื่อนๆ การสื่อสารให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าแนวทางไฮสโคปไม่ได้หมายความว่าเด็กจะไม่ได้เรียนทักษะเหล่านี้ แต่จะได้เรียนผ่านวิธีการที่สอดคล้องกับธรรมชาติและความพร้อมของเด็กมากกว่า จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
การวัดผลและประเมินผลความสำเร็จของการจัดการศึกษาแบบไฮสโคปต้องใช้เครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย การพึ่งพาเพียงคะแนนสอบมาตรฐานอาจไม่สะท้อนการพัฒนาที่แท้จริงของเด็กในทุกมิติ การใช้ portfolio การสังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์เด็กและผู้ปกครอง การติดตามการพัฒนาระยะยาว และการประเมินความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะให้ภาพที่สมบูรณ์กว่าเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของแนวทางการศึกษานี้
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาที่นำแนวทางไฮสโคปมาใช้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของการปฏิรูปการศึกษา การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การเรียนรู้ร่วมกัน การสนับสนุนซึ่งกันและกัน และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ร่วมกันจะทำให้แนวทางไฮสโคปสามารถเติบโตและปรับตัวให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การบูรณาการแนวทางไฮสโคปเข้ากับหลักสูตรการศึกษาของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ทำได้และจำเป็น โดยไม่ต้องละทิ้งเนื้อหาสาระที่สำคัญแต่ปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอให้สอดคล้องกับหลักการของไฮสโคป เช่น การเรียนรู้เรื่องสีผ่านการทดลองผสมสีแทนการท่องจำชื่อสี การเรียนรู้ตัวเลขผ่านการนับสิ่งของในชีวิตจริงแทนการเขียนตัวเลขซ้ำๆ หรือการเรียนรู้ภาษาผ่านการสื่อสารในสถานการณ์จริงแทนการท่องคำศัพท์
ความสำคัญของการเล่นในแนวทางไฮสโคปไม่สามารถมองข้ามได้ การเล่นไม่ใช่เพียงการพักผ่อนหรือการใช้เวลาว่าง แต่เป็นกลไกสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาของเด็ก ผ่านการเล่นเด็กจะได้ฝึกทักษะการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการควบคุมอารมณ์ การจัดกิจกรรมการเล่นที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับการเรียนรู้จึงเป็นศิลปะที่ครูไฮสโคปต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
การส่งเสริมการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ในเด็กปฐมวัยผ่านแนวทางไฮสโคปเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพสูง เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติและชอบตั้งคำถาม การจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้สังเกต ตั้งสมมติฐาน ทดลอง และสรุปผล จะช่วยปูพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้น การใช้วัสดุธรรมชาติและสิ่งของในชีวิตประจำวันเป็นเครื่องมือการทดลองจะทำให้เด็กเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริง ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนและห่างไกลตัว
แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบไฮสโคป (High/Scope Approach)
ในปัจจุบันสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่มีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางผ่าน “กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม” ซึ่งแท้จริงแล้วยังมี
แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยทางเลือกอื่นที่สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยหลายแห่งได้ปรับประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับ
เด็กปฐมวัย มาเป็นระยะยาวนาน โดยมีความแตกต่างกันไปตามแนวคิด หลักการ ปรัชญา ทรรศนะ หรือความเชื่อของผู้บริหาร ครู และผู้ปกครอง รวมถึงความต้องการในการส่งเสริม
สนับสนุนการพัฒนาเด็กปฐมวัยตามความพร้อมของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแต่ละแห่ง หากแต่สามารถสะท้อนผลสำเร็จทางด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัยตามแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางเลือกนั้น ๆ
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะหน่วยงานด้านนโยบายการศึกษาของประเทศ และเป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย
ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้หรือนวัตกรรม
ทางการศึกษาในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่หลากหลายตามบริบทของแต่ละพื้นที่และเพื่อเป็นการขยายผลจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ทางคณะผู้วิจัยจึงได้จัดทำชุดหนังสือเล่มเล็ก
รวมทั้งหมด 6 เล่ม ประกอบด้วย เล่มที่ 1 แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป (High/Scope Approach)เล่มที่ 2 แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบวอลดอร์ฟ(Waldorf Approach) เล่มที่ 3 แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่ (Montessori Approach) เล่มที่ 4 แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการ (Project Approach) เล่มที่ 5 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางผ่าน “กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม” และเล่มที่ 6 แนวทางการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมทักษะสมอง EF(Executive Functions)
โปรแกรมไฮสโคป ใช้ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา(Cognitive Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียนซึ่งเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) ระยะต่อมามีการผสมผสานทฤษฎีและแนวคิดอื่น ๆ เช่น ทฤษฎีของ อีริคสัน (Erikson) ในเรื่องการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ และทฤษฎีของไวก๊อตสกี้ (Vygotsky) ในเรื่องปฏิสัมพันธ์และการใช้ภาษา
โปรแกรมไฮสโคป เน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อ และกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กและการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น
หลักการของไฮสโคปสรุปเป็นแผนภูมิภาพ “วงล้อแห่งการเรียนรู้” ( High/Scope Wheel of Learning )
ตัวอย่างไฟล์เอกสาร

